ตรัง - เปิดใจนายแพทย์ รพ.ตรัง อดีตนักเรียนรางวัลพระราชทานจากในหลวง ยึดแนวทางการทำงานตามพระบรมราชโชวาทที่เขียนเก็บใส่ลิ้นชักไว้ และเปิดออกมาอ่านเพื่อเตือนสติตนเองก่อนทำงานทุกวัน
วันนี้ (20 ต.ค.) นายแพทย์ศักดิ์วุฒิ รัตตานุกูล นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หัวหน้ากลุ่มงานโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลตรัง เล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งยังเด็กอายุประมาณ 6 ขวบ ซึ่งเคยเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเคยเข้ารับเงินขวัญถุงนักเรียนรางวัลพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ศาลาดุสิดาลัย นับเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้
นายแพทย์ศักดิ์วุฒิ เล่าถึงเมื่อครั้งสมัยยังเด็กว่า เดิมตนเป็นชาวอำเภอพระแสง จ.สุราษฎร์ธานี ในสมัยนั้นบ้านของตนทุรกันดารมาก อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 90 กิโลเมตร มีถนนดินแดงไปชนฝั่งแม่น้ำตาปี ความเจริญเข้าไม่ถึง และยังเป็นพื้นที่สีแดงที่มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แทรกซึมอยู่ทั่วไป พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต เสด็จไปปฏิบัติราชภารกิจแทนพระองค์ในการเยี่ยมเยียนราษฎร
ต่อมา เมื่อความทุกข์ยากของราษฎรทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์จึงเสด็จมายังอำเภอพระแสง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2511 และอีก 3 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 4 ต.ค.2511 พระองค์ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ได้เสด็จไปอีกครั้ง พร้อมพระราชทานรถแทรกเตอร์สำหรับทำถนนหนทางไว้ 1 คัน ต่อมา เมื่อมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำตาปี และมีถนนตัดผ่าน อ.พระแสง จึงเจริญขึ้นมาเป็นลำดับ ด้วยพระบารมีของพระองค์โดยแท้
ทั้งนี้ เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 ตนเองก็ถูกส่งไปเรียนในตัวเมืองที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตอนนั้นได้สอบชิงรางวัลพระราชทานของเขตการศึกษาไว้ กระทั่งเมื่อเข้าไปศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในปีแรกได้มีหนังสือแจ้งให้ไปรับรางวัลพระราชทานที่ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังสวนจิตรลดา กรุงเทพมหานคร พร้อมกันกับนักเรียนที่ได้รางวัลทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2524
สำหรับรางวัลที่ได้รับพระราชทานเป็นถุงสีทอง ข้างในมีเงิน 1,000 บาท และภายในมีพระบรมราโชวาท มีความโดยสรุปว่า การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล การให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชน จะทำให้ประเทศชาติเจริญมั่นคง และพัฒนาให้ก้าวหน้า และทรงสอนนักเรียนที่ได้รับรางวัลให้มีความขยันหมั่นเพียรต่อไป เพราะเป็นการสร้างรากฐาน และแนวทางแห่งความสำเร็จในชีวิตของตน ซึ่งตนเองได้ยึดถือคำสั่งสอนของพระองค์ท่านเสมอมา
กระทั่งเมื่อจบแพทย์ในปี 2529 ได้สมัครไปใช้ทุนที่บ้านเกิดอยู่ 4 ปี และใน 2 ปีหลัง ได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระแสง และเป็นกำลังสำคัญในการระดมความร่วมมือของหลายฝ่าย จนสามารถขยายบริการไปยังกิ่งอำเภอชัยบุรี ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร จนเปิดโรงพยาบาลชัยบุรีได้ทันในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ และตนก็ได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลชัยบุรีคนแรกอีกตำแหน่งหนึ่ง หลังจากนั้น ตนเองได้ไปศึกษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วไปทำงานที่โรงพยาบาลพังงา อยู่ 4 ปี ก่อนที่จะย้ายมาโรงพยาบาลตรังในปี 2540 จนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตนเป็นเด็กในชนบทห่างไกลที่ด้อยโอกาส ที่มีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าตามสมควรในทุกวันนี้ เพราะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาดูแลบ้านเกิดของตนด้วยความใส่พระทัย ทรงทำให้ตนเห็นความสำคัญของการศึกษาและใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชีวิต พร้อมพระราชทานรางวัลเกียรติยศที่ตนภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต จนทำให้มีกำลังใจในการทำประโยชน์เพื่อพี่น้องประชาชน ดั่งพระบรมราโชวาทที่ได้ตรัสไว้ว่า “ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้นจึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ ที่เป็นคุณประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ” ซึ่งตนได้เขียนข้อความเก็บใส่ลิ้นชักเอาไว้ ทุกครั้งเมื่อดึงออกมาก็จะเห็น และเตือนสติก่อนทำงานในทุกวัน