คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
----------------------------------------------------------------------------------------
สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะดีขึ้น หรือไม่ดีขึ้น ไม่สามารถวัดได้จากการ “บอกเล่า” หรือ “การแถลงข่าว” จากหน่วยงานที่รับผิดชอบฝ่ายความมั่นคงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องฟังจากคนในพื้นที่ หรือจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และที่สำคัญต้องประเมินจาก “เหตุร้ายรายวัน” ที่เกิดขึ้น นั่นคือตัวชี้วัดที่จะบอกได้ชัดเจน และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนดำให้เป็นขาว หรือเปลี่ยนขาวให้เป็นดำได้อย่างแน่นอน
กรณีเกิดเหตุบุกยิงเด็กสาวลูกจ้างปั๊มน้ำมันเสียชีวิต ก่อนที่จะวางระเบิดแสวงเครื่องตามมาที่ ต.บางโกระ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บนับเกือบ 10 นาย หรือกรณีเกิดเหตุยิง อส.ที่เป็นชุดคุ้มครองครูที่ ต.มูโน๊ะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งทำให้ อส.เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บอีก 2 นาย และกรณีเกิดเหตุวางระเบิดรถยนต์ ก่อนยิงถล่มซ้ำตำรวจสายตรวจ สภ.กรงปินัง จ.ยะลา จนทำให้ตำรวจเสียชีวิต 3 นาย และที่เหลือบาดเจ็บทั้งหมด
เหตุการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่เป็น “คำตอบที่ดีที่สุด” ว่า สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ได้ลดความรุนแรงลงแต่อย่างใด
โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมต่อเนื่องถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มี “คนพุทธ” ไม่ต่ำกว่า 10 ราย ใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ได้ตกเป็น “เหยื่อ” สถานการณ์ อันหมายถึงไม่มีเหตุส่วนตัวโกรธเคืองกับใคร แต่ถูก “แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ฆ่าตาย เพื่อเป็นการ “ตอบโต้” และ “แก้แค้น” ให้แก่แนวร่วมที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารจับกุม หรือวิสามัญให้ตายไป
ความจริงแล้วนับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นปีแรกที่ไฟใต้เกิดความรุนแรงระลอกใหม่ “คนพุทธ” ก็ตกเป็น “เหยื่อของความขัดแย้ง” มาจนถึงเดี๋ยวนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนที่เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นนั้นน่าจะมีเพียง 2 ประการ คือ ประการแรก ที่ผ่านมา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า สามารถควบคุมพ้นที่ส่วนใหญ่ใน “7 หัวเมืองเศรษฐกิจ” ให้พ้นจากการเป็น “คาร์บอมบ์” อย่างค่อนข้างเกือบจะเรียกว่าได้ผล เพราะหากไม่มีคาร์บอมบ์ที่โรงแรมเซ้าท์เทิร์น วิว ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี และคาร์บอมบ์ที่ข้างจุดตรวจในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลกเกิดขึ้น นั่นจึงสามารถใช้คำว่าดีเยี่ยมได้
ประการที่สอง คือ กอ.รมน.สามารถที่รักษาความปลอดภัยให้แก่ “ขบวนครูในพื้นที่” ได้ดีขึ้น โดยไม่มีครูกลายเป็นเหยื่อชุกชุมเหมือนในอดีต ซึ่งเคยมีครู และบุคลากรทางการศึกษาเสียชีวิตจากฝีมือของแนวร่วมปีละหลายสิบราย รวมทั้งโรงเรียนในพื้นที่ก็ไม่ตกเป็นเหยื่อของการวางเพลิงมากมายเหมือนเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
แต่เรื่องของครู และโรงเรียนที่ไม่ตกเป็นเหยื่อของ “ไฟแค้น” ก็อาจจะไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะบอกได้ว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่มีความสามารถในการคุ้มครองครูได้ทั้งหมด เนื่องจากมีข้อสังเกตว่า แนวร่วมยังมีการโจมตี “ชุดคุ้มครองครู” จนบาดเจ็บล้มตายมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ทำร้ายครู และบุคลากรทางการศึกษาทั้งที่อยู่ในขบวนเดียวกันทั้งขาไป และขากลับเท่านั้น
ดังนั้น การที่จะบอกว่า “ครูใต้” ปลอดภัย ไม่ตกเป็นเหยื่อหนาแน่นเหมือนในอดีต นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า “บีอาร์เอ็น” คิดได้ว่า การทำร้ายครู และบุคลากรทางการศึกษาจะทำให้ “เสียมวลชน” ครูจึงมีชีวิตอยู่รอดโดยปลอดภัยด้วยเหตุนี้
และมีข้อสังเกตจากการรายงานข่าวของหน่วยข่าวในพื้นที่ คือ คนร้ายที่ก่อเหตุเป็น “แนวร่วมรุ่นใหม่” ที่เพิ่งถูกนำเข้าสู่ขบวนการ อันเป็นการสร้างมือก่อเหตุแทน “แนวร่วมรุนเก่า” ที่ต้องหนีไป “หลบซ่อน” จากการที่มีหมายจับ และเจ้าหน้าที่รู้ตัว และเปิดปฏิบัติการกดดันจนทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก
นั่นแสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานที่รับผิดชอบยังไม่สามารถที่จะ “หยุดยั้ง” การนำคนรุ่นใหม่เข้าสู่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่างได้ผล โดยยังปล่อยให้ “อุสตาซ” ในพื้นที่ยังสามารถ “ชักจูง” และ “บ่มเพาะ” คนรุ่นใหม่ให้มี “อุดมการณ์” ในการจับอาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ โดยถูกเสี้ยมให้เป็นศัตรูกับรัฐไทย และเลือกที่จะกระทำต่อ “คนพุทธ” ในพื้นที่
หากหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของ “อุสตาซ” บางคน หรือตัดตอนกระบวนการที่บรรดา “แกนนำ” ใช้ในการสร้าง “เซลล์” รุ่นใหม่ให้แก่ขบวนการได้ การที่จะได้เห็นความสงบสุขกลับคืนสู่แผนดินปลายด้ามขวาน แม้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ให้เห็น
เมื่อเป็นเช่นนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบก็ต้องทบทวน “โครงการพาคนกลับบ้าน” อีกครั้งหนึ่งไหมว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่สามารถทำให้ปัญหาการก่อการร้าย “ยุติ” ลงได้จริงหรือ และคนที่ถูก “พากลับบ้าน” มีความหมาย หรือมีความสำคัญเพียงพอต่อการทุ่มเทงบประมาณเพื่อโครงการนี้หรือไม่
ดังนั้น การที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังจัดตั้ง “ครม.ส่วนหน้า” ขึ้นมาใหม่ โดยให้ลงมาปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแล และแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ นั่นคงจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดว่า สถานการณ์ไฟใต้ “ยังไม่ดีขึ้น”
เพราะถ้าสถานการณ์ดีขึ้นจริง และเหตุการณ์ลดลงจริง “ครม.ส่วนหน้า” คงไม่มีความจำเป็นในการตั้งขึ้นมาให้สิ้นเปลือง ทั้งด้านการใช้งบประมาณ และการทุ่มเทกำลังบุคลากร
ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องทำเพื่อให้การแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสอดรับต่อสถานการณ์ และสภาพของความเป็นจริงของปัญหา รวมถึงการพัฒนาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
บรรดา “หน่วยงานความมั่นคง” ไม่ว่าในพื้นที่ห รือในส่วนกลาง ทุกหน่วยจะต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบาย มีการยกเลิกโครงการที่เห็นว่าล้าหลัง และหมดความจำเป็น หรือเป็นโครงการที่ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้น
สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งของหน่วยงานความมั่นคงคือ การติดตามความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ และของฝ่ายตรงข้ามให้ทันท่วงที รวมถึงต้องปรับวิธีคิด วิธีปฏิบัติ เพื่อให้สอดรับต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
จึงต้องยอมรับความจริงว่า วันนี้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องทำการประเมินสถานการณ์ และประเมินการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาว่า มีอะไรที่ล้าหลังกว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือไม่ โดยเฉพาะมีอะไรที่ “ขัดแย้ง” กับ “ขบวนการภาคประชาชน” จนทำให้งานด้าน “การทหาร” ยังไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่งานด้าน “การเมือง” ก็ยังเสียเปรียบบีอาร์เอ็นทั้งในพื้นที่ และในเวทีต่างประเทศ
การปรับเปลี่ยน การยุบ การยกเลิก ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาของทุกองค์กร แต่การยอมรับ “ความจริง” และการยอมรับ “ความพ่ายแพ้” สิ่งนี้ต่างหากที่จะนำไปสู่หนทางแห่ง “ชัยชนะ” ได้
การปรับโครงสร้างของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เพื่อให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ อีกทั้งการหลอมรวมหน่วยงานในพื้นที่ให้เป็นแท่งเดียวกันได้เมื่อไหร่ “ครม.ส่วนหน้า” ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมี
เนื่องเพราะการมี “ครม.ส่วนหน้า” นั่นคือ การยอมรับว่า ที่ผ่านมา “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนงาน “ดับไฟใต้” ได้อย่างเป็นที่ประจักษ์