ชุมพร - มทบ.44 จัดแถวลงตรวจสอบอาณาจักรบ้านพักตากอากาศหรูมูลค่าร่วม 100 ล้านบนที่ดินสาธารณประโยชน์ ชายหาดทุ่งทราย อ.ปะทิว จ.ชุมพร หลังผู้นำท้องถิ่นชาวบ้านร้อง คสช. ยึดคืนกลับสู่แผ่นดิน
จากกรณีที่นายก อบต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร พร้อมชาวบ้านร้องให้ทหารตรวจสอบบ้านพักหรูหลังใหญ่โตมูลค่าร่วมร้อยล้านบนพื้นที่สาธารณะชายหาดอ่าวทุ่งทราย หมู่ 3 ตำบลปากคลอง และยกเลิกการเช่าที่ดินก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกอย่างไม่ชอบมาพากล กลับคืนให้กับชุมชน ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว วานนี้ (17 ส.ค.) ที่ห้องประชุม อบต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร พล .ต.อุดมวิทย์ อโนวัลย์ ผู้บังคับการมณฑลทหารบก (มทบ.) ที่ 44 ชุมพร พ.ต.ดุสิต เกสรแก้ว นายทหารฝ่ายยุทธการ พ.ต.สังคม รองมาลี นายทหารฝ่ายกิจการพลเรือน กองบัญชาการควบคุม มทบ.44 ชุมพร ได้ประชุมร่วมกับ นายจิรศักดิ์ ชัยฤทธิ์ ปลัดจังหวัดชุมพร นายประไพ กาละ ปลัดอำเภอปะทิว นายภรดร ศรีชลธาร นายก อบต.ปากคลอง และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 14 หน่วยงาน ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับภูมิภาคเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และแก้ปัญหาดังกล่าว
ในที่ประชุม พ.ต.ดุสิต เกสรแก้ว นายทหารฝ่ายยุทธการ ได้แสดงข้อมูลหลักฐานจากการตรวจสอบในเชิงลึกร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องพบว่า บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์เหลืออยู่จำนวน 101 ไร่ 69 ตารางวา บนพื้นที่อ่าวทุ่งทราย ซึ่งปัญหาได้เกิดมานานร่วม 10 ปี ตั้งแต่สมัยผู้บริหารท้องถิ่น และหัวหน้าส่วนราชการยุคนั้นๆ กลายเป็นปัญหาเรื้อรังมาถึงยุคปัจจุบัน เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า มีอดีตนักการเมืองในท้องถิ่นบางคนได้จับจองที่ดินบริเวณดังกล่าวแล้วนำไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้แก่เศรษฐีมีชื่อเสียงอยู่ในตระกูลดังที่กรุงเทพฯ จำนวน 36 ไร่ ในราคา 3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2532 ใช้สร้างเป็นบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่สวยหรูมูลค่าหลายล้านบาท จำนวน 2 หลัง อยู่ใกล้กับริมชายหาด พร้อมกั้นรั้วลวดหนาวล้อมรอบเป็นอาณาจักรห้ามบุคคลภายนอกเข้า ทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่น และชาวบ้านไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวได้
นอกจากนั้น ในปี 2550 ได้มีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเข้ามาขอเช่าใช้ทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 65 ไร่ เพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และลานกองเก็บวัตถุดิบเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งการดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างไม่โปร่งใส และไม่ชอบมาพากล ต่อมา หลังชาวบ้านทราบเรื่องได้มีการออกมาประท้วงต่อต้าน และร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ตลอดมา
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้สรุปเรื่องเป็น 2 ประเด็น คือ 1.ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าบ้านพักตากอากาศที่ปลูกสร้างอยู่ในพื้นที่สาธารณประโยชน์ดังกล่าวได้อย่างไร และให้ดำเนินการทางกฎหมาย 2.ให้องค์กรปกครองท้องถิ่นทำตามประชาคมหมู่บ้าน และมติของที่ประชุมสภา อบต.ปากคลอง เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่มีความเห็นให้ยกเลิกสัญญาการเช่าที่ดินสาธารณประโยชน์ของบริษัทเอกชนเพื่อนำไปสร้างท่าเรือน้ำลึก โดยให้เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่วข้อง ซึ่งหลังการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง กระทั่งเวลา 16.00 น. ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ลงไปตรวจสอบบริเวณชายหาดอ่าวทุ่งทราย ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านตากอากาศหรู 2 หลัง ที่มีการร้องเรียนดังกล่าว ซึ่งพบว่าเป็นชายหาดทรายแก้วสีขาวโค้งเว้าสวยงาม เหมาะแก่การพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าด้านอุตสาหกรรม
พล ต.อุดมวิทย์ อโนวัลย์ ผู้บังคับการมณฑลทหารบก (มทบ.) ที่44 กล่าวว่า การประชุมผู้เกี่ยวข้องวันนี้เพื่อจะได้ทราบปัญหา และรู้ว่าหน่วยงานใดรับผิดชอบส่วนไหนติดขัดปัญหาอย่างไรบ้างเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบูรณาการร่วมกัน และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ผิดถูกว่าไปตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และตนจะเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องทุกส่วนเพื่อทราบความคืบหน้าของการทำงานเป็นระยะๆ เพื่อรายงานให้หน่วยเหนือรับทราบต่อไป
จากกรณีที่นายก อบต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร พร้อมชาวบ้านร้องให้ทหารตรวจสอบบ้านพักหรูหลังใหญ่โตมูลค่าร่วมร้อยล้านบนพื้นที่สาธารณะชายหาดอ่าวทุ่งทราย หมู่ 3 ตำบลปากคลอง และยกเลิกการเช่าที่ดินก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกอย่างไม่ชอบมาพากล กลับคืนให้กับชุมชน ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว วานนี้ (17 ส.ค.) ที่ห้องประชุม อบต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร พล .ต.อุดมวิทย์ อโนวัลย์ ผู้บังคับการมณฑลทหารบก (มทบ.) ที่ 44 ชุมพร พ.ต.ดุสิต เกสรแก้ว นายทหารฝ่ายยุทธการ พ.ต.สังคม รองมาลี นายทหารฝ่ายกิจการพลเรือน กองบัญชาการควบคุม มทบ.44 ชุมพร ได้ประชุมร่วมกับ นายจิรศักดิ์ ชัยฤทธิ์ ปลัดจังหวัดชุมพร นายประไพ กาละ ปลัดอำเภอปะทิว นายภรดร ศรีชลธาร นายก อบต.ปากคลอง และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 14 หน่วยงาน ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับภูมิภาคเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และแก้ปัญหาดังกล่าว
ในที่ประชุม พ.ต.ดุสิต เกสรแก้ว นายทหารฝ่ายยุทธการ ได้แสดงข้อมูลหลักฐานจากการตรวจสอบในเชิงลึกร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องพบว่า บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์เหลืออยู่จำนวน 101 ไร่ 69 ตารางวา บนพื้นที่อ่าวทุ่งทราย ซึ่งปัญหาได้เกิดมานานร่วม 10 ปี ตั้งแต่สมัยผู้บริหารท้องถิ่น และหัวหน้าส่วนราชการยุคนั้นๆ กลายเป็นปัญหาเรื้อรังมาถึงยุคปัจจุบัน เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า มีอดีตนักการเมืองในท้องถิ่นบางคนได้จับจองที่ดินบริเวณดังกล่าวแล้วนำไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้แก่เศรษฐีมีชื่อเสียงอยู่ในตระกูลดังที่กรุงเทพฯ จำนวน 36 ไร่ ในราคา 3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2532 ใช้สร้างเป็นบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่สวยหรูมูลค่าหลายล้านบาท จำนวน 2 หลัง อยู่ใกล้กับริมชายหาด พร้อมกั้นรั้วลวดหนาวล้อมรอบเป็นอาณาจักรห้ามบุคคลภายนอกเข้า ทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่น และชาวบ้านไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวได้
นอกจากนั้น ในปี 2550 ได้มีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเข้ามาขอเช่าใช้ทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 65 ไร่ เพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และลานกองเก็บวัตถุดิบเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งการดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างไม่โปร่งใส และไม่ชอบมาพากล ต่อมา หลังชาวบ้านทราบเรื่องได้มีการออกมาประท้วงต่อต้าน และร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ตลอดมา
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้สรุปเรื่องเป็น 2 ประเด็น คือ 1.ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าบ้านพักตากอากาศที่ปลูกสร้างอยู่ในพื้นที่สาธารณประโยชน์ดังกล่าวได้อย่างไร และให้ดำเนินการทางกฎหมาย 2.ให้องค์กรปกครองท้องถิ่นทำตามประชาคมหมู่บ้าน และมติของที่ประชุมสภา อบต.ปากคลอง เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่มีความเห็นให้ยกเลิกสัญญาการเช่าที่ดินสาธารณประโยชน์ของบริษัทเอกชนเพื่อนำไปสร้างท่าเรือน้ำลึก โดยให้เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่วข้อง ซึ่งหลังการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง กระทั่งเวลา 16.00 น. ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ลงไปตรวจสอบบริเวณชายหาดอ่าวทุ่งทราย ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านตากอากาศหรู 2 หลัง ที่มีการร้องเรียนดังกล่าว ซึ่งพบว่าเป็นชายหาดทรายแก้วสีขาวโค้งเว้าสวยงาม เหมาะแก่การพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าด้านอุตสาหกรรม
พล ต.อุดมวิทย์ อโนวัลย์ ผู้บังคับการมณฑลทหารบก (มทบ.) ที่44 กล่าวว่า การประชุมผู้เกี่ยวข้องวันนี้เพื่อจะได้ทราบปัญหา และรู้ว่าหน่วยงานใดรับผิดชอบส่วนไหนติดขัดปัญหาอย่างไรบ้างเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบูรณาการร่วมกัน และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ผิดถูกว่าไปตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และตนจะเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องทุกส่วนเพื่อทราบความคืบหน้าของการทำงานเป็นระยะๆ เพื่อรายงานให้หน่วยเหนือรับทราบต่อไป