โดย..รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์
คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ แถลงวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา
รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ จังหวัดสงขลา แถลงผลการเฝ้าติดตามปัญหาการทักษะการใช้ภาษาไทย อันเนื่องจากการเติบโตก้าวหน้าเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และการเชื่อมต่อในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๙ ความว่า
๑.จากการศึกษาและเฝ้าติดตามพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของนักศึกษา พบว่าส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ และใช้เวลากับ Facebook Line Instragram ผ่านการใช้ Smartphone คอมพิวเตอร์พกพา (Tablet) มากถึง ๕ ชั่วโมงต่อวัน เป็นกิจกรรมสุดท้ายก่อนนอน กิจกรรมแรกหลังตื่นนอน และกิจกรรมระหว่างเรียน สำหรับการแสดงตัวตน โพสต์ แชร์ การสนทนา การติดตามความเคลื่อนไหว
และเห็นว่าสังคมออนไลน์เป็นสิ่งที่จำเป็น สำคัญในชีวิตที่ขาดไม่ได้ หากไม่ได้เล่น/ใช้งาน หรือตกอยู่ในเงื่อนไข บริบท สถานการณ์ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ภาวะคลั่งไคล้เครือข่ายสังคมออนไลน์รุนแรง” (Social Network Addiction) ที่โน้มนำไปสู่การเกิดกลุ่มอาการของโรค (Disease) ที่นักประสาทวิทยา เรียกว่า “Visiobibliophobia” อันเป็นอาการแสดงออกเนื่องจากความคลั่งไคล้เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างรุนแรง
และสะท้อนออกมาในลักษณะอาการหมกมุ่น อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย ทุรนทุราย หงุดหงิด ขาดสมาธิ กระสับกระส่ายต่อปฏิกิริยาตอบสนอง เช่น จำนวนยอดการเข้ามาแสดงความคิดเห็น การกดไลก์ และหม่นเศร้า สูญเสียคุณค่า หากไม่เป็นดังที่คาดหวังตั้งใจ หรือหวั่นหวาดที่จะไม่ได้รับความนิยมในเครือข่ายสังคมออนไลน์
“ที่น่าตกใจคือ นักศึกษาให้ข้อมูลว่าหากวันใดลืมเครื่องมือเชื่อมต่อเครือข่ายสังคมออนไลน์ จะต้องกลับไปเพื่อนำมาใช้งานต่อเนื่อง หรือหากตกอยู่ในสถานการณ์ พื้นที่ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ จะไม่มีสมาธิ รู้สึกที่ทุรนทุราย กระวนกระวาย หงุดหงิด แต่ต้องหากวันใดวันหนึ่งลืมหนังสือ ตำราการเรียน จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยที่ไม่สำคัญอะไรมากมาย สามารถยืมเพื่อน และรู้สึกเสียเวลาหากกลับไปนำมาสำหรับการเรียน นักศึกษาส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน ถ่ายภาพข้อมูล-ความรู้ของผู้สอนขณะบรรยาย มากกว่าการจด หรือสรุปความเพื่อใช้สำหรับบันทึกการเรียนรู้หรือทบทวนในแบบเดิม...เรากำลังเข้าสู่อาการขาดเครื่องมือสื่อสาร จำพวก มือถือ สมาร์ทโฟน ไม่ได้โดยสมบูรณ์”
๒.ผลกระทบต่อการใช้ภาษาไทย ความคลั่งไคล้เครือข่ายสังคมออนไลน์แบบรุนแรง ส่งผลกระทบ และก่อให้เกิดภาวะถดถอยของวัฒนธรรมการอ่าน ที่เชื่อมโยงถึงทักษะการเขียน พูด คิดวิเคราะห์ เขียน การอ่าน ที่หย่อนยาน ไม่มีประสิทธิภาพในหลายรูปแบบ ทั้งในแง่การเขียนไม่ตรงประเด็น วกไปวนมา การสะกดคำผิด แม้กระทั่งคำง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน การใช้พูดในภาษาเขียน การใช้ภาษาไม่ถูกต้อง ผิดกาลเทศะ และการอ่านที่ไม่สามารถจับใจประเด็น และ/หรือสาระสำคัญได้
“กล่าวให้ชัดเจนในระดับมหาวิทยาลัย เครือข่ายสังคมออนไลน์ส่งผลกระทบต่อการคิดเชิงวิเคราะห์ การประกอบสร้างความรู้ (conceptualization) การคิด เขียนที่สื่อสารไม่ได้ ภาษาพูดที่ปะปนในภาษาเขียน การกร่อนคำ ผสมปนเปเจือปนด้วยความรู้สึก คิดทึกทักเอาเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคขัดขวางสำคัญในการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน ที่สำคัญคือ ทำให้การกลายเป็น สังคมความรู้สึก ขาดการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ มุ่งความเป็นปัจเจกบุคคลและตัวตนเป็นที่ตั้ง ละเลยชีวิตสาธารณะ และมิติการสร้างสรรค์สังคมสาธารณะ ที่เหมาะสมต่อบทบาท สถานภาพ และตำแหน่งแห่งที่ทางชั้นชนที่สังกัด”
“ที่น่าหวั่นใจประการหนึ่ง มีข้อเท็จจริงที่ว่ากลุ่มผู้สอนก็มีการใช้ภาษาที่ขาดประสิทธิภาพ ขาดกาละ เทศะมากขึ้น ตัวอย่างรูปธรรม เช่น อาจารย์ผู้สอนโพสต์สเตตัสว่า “กำลังใจเล็กๆ จากคนเป็นครู” โดยถ่ายภาพข้อความที่นิสิตเขียนท้ายกระดาษคำตอบข้อสอบว่า “ขอชื่นชมความเป็นครูที่ดี ทุ่มเทกับกับการสอน” “หนูสัญญาจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน” แม้ข้อความเหล่านั้นอาจจะมีส่วนจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีน้ำเสียงเรียกร้องความเห็นใจ และต่างสนับสนุนกันและกันให้มีการใช้พื้นที่ผิดวัตถุประสงค์ หลงสำคัญผิดมากขึ้นเรื่อยๆ
๓.ข้อเสนอแนะ ๓.๑ จัดระเบียบการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เหมาะสมต่อบริบท สถานการณ์ กาลเทศะในชีวิตประจำวัน โดยอาจกำหนดให้มี “ธรรมนูญเครือข่ายสังคมออนไลน์” เพื่อกำกับ กระตุ้น สร้างความตระหนักในการใช้และการเชื่อมต่อในโลกชีวิตประจำวัน รวมถึง “การส่งเสริมความเป็นพลเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ และสื่อสังคมอื่นๆ”
๓.๒ เปิด/สร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อเสริมสร้างการอ่านและวัฒนธรรมการอ่านที่มีชีวิตชีวา อย่างจริงจังในสถานศึกษา ครอบครัว ชุมชน และพื้นที่สร้างสรรค์อื่นๆ เพื่อดึงผู้คนมาสู่การฟัง พูด อ่าน เขียนที่ใกล้ชิดกับโลกธรรมชาติ มากกว่าการจมดิ่งอยู่กับโลกเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่ในท้ายที่สุดแล้วไม่เพียงทำให้ทักษะการใช้ภาษาไทยหย่อนประสิทธิภาพ ไร้ประสิทธิผลเท่านั้น แต่คือ “การเปลี่ยนความสัมพันธ์จากความสัมพันธ์ทางสังคมไปสู่ความสัมพันธ์เสมือนจริงที่แหว่งวิ่นในความเป็นมนุษย์ ไร้มารยาท และขาดทักษะการใช้ชีวิต การอยู่ร่วมกันในสังคม” มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างการเปิด/สร้างพื้นที่สาธารณะเชิงสร้างสรรค์ เช่น
•กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน และวัฒนธรรมการอ่านที่หลากหลาย มีชีวิตชีวา เช่น การอ่านหนังสือ ภาพยนตร์ วรรณกรรม กวีนิพนธ์ ฯลฯ โดยอาจเชื่อมโยงกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชา และหลักสูตรต่างๆ
•โครงการเสริมสร้างการอ่าน และวัฒนธรรมการอ่านที่สามารถแปลงไปสู่การปฏิบัติการ การเชื่อมโยงกับโครงการจิตอาสา บำเพ็ญประโยชน์ และการสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองและพลโลก เพื่อดึงดูด เบี่ยงความสนใจของผู้คนสู่โลกชีวิตประจำวัน อิงแอบ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบชิดใกล้
๓.๓ ส่งเสริม สนับสนุนการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน การเรียนรู้ในสถาบันการศึกษาให้มีลักษณะเป็นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อสร้างปัญญารวมหมู่ (Collective Intelligence) ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอน การเชื่อมโยงหลักสูตรทั้งในและนอกชั้นเรียนให้มากขึ้น
โดยสรุป การปล่อยเลยตามเลยให้ทุกองคาพยพของสังคมจมดิ่งกับการคลั่งไหลเครือข่ายสังคมออนไลน์ ไม่เพียงการกลายเป็นสังคมก้มหน้าเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการนำความสัมพันธ์เสมือนจริง แทนที่ระบบและความสัมพันธ์ทางสังคมที่ตั้งอยู่บนมิตรภาพ ความรัก ความดีงาม และการสร้างสรรค์ชีวิตสาธารณะร่วมกัน นำไปสู่ปัญหาสังคมอื่นๆ ตามมาเป็นแบบเกี่ยวเนื่องในอนาคต
แต่ยังไม่สายเกินไปที่สังคม สถาบัน กลไกในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ชุมชน โรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น ฯลฯ จะเข้ามาร่วมกันจัดระเบียบ เพื่อรื้อฟื้น ส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่ ที่ตื่นรู้เท่าทัน สื่อ เทคโนโลยี และเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์การเรียนรู้ที่มีชีวิต