xs
xsm
sm
md
lg

คารวะ “ลุงโฮ” บิดาแห่งประชาชาติเวียดนาม : ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของเวียดนาม / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์  :  คนคาบสมุทรมลายู
โดย…จรูญ  หยูทอง-แสงอุทัย
--------------------------------------------------------------------------------
 
 
วันที่สี่ของการเดินทางท่องเที่ยวเวียดนามเหนือ เราแวะคารวะ-ชม สุสานประธานาธิบดีโฮจิมินห์  ทำเนียบประธานาธิบดี  วัดเจดีย์เสาเดียว  พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์  ได้รู้ และเข้าใจคำว่า “บางคนถึงตายไปแล้วก็เหมือนยังมีชีวิตอยู่” และเข้าใจคำว่า “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล” ในความทรงจำของประชาชนอย่าง “ลุงโฮ” “เทพเจ้าคอมมิวนิสต์” “มหาบุรุษผู้ไม่เคยสิ้นลมหายใจ”
 
ซึ่งในรอบหลายศตวรรษจะหาผู้นำแบบนี้ในอาเซียนได้สักกี่คน โดยเฉพาะในประเทศที่อยู่ทางตอนเหนือของมาเลเซีย ตอนใต้ของประเทศลาว ตะวันออกของพม่า และตะวันตกของกัมพูชา ประเทศที่อดีตผู้นำของพวกเขาคนหนึ่งพึ่งถึงแก่อนิจกรรมไปเมื่อไม่นานมานี้
 
บรรยากาศช่างต่างกับการเข้าแถวยาวเหยียดของเยาวชน และประชาชน ทั้งชาวเวียดนาม และนักท่องเที่ยวที่ยาวเป็นกิโลเมตร ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาจนเปียกโชก เพียงเพื่อรอการเข้าไปคารวะศพลุงโฮ และชมพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อเรื่องราวของเขา อันเป็นเรื่องเดียวกับการเริ่มต้นของความเป็นชาติเวียดนาม หลังการถูกยึดครองจากเจ้าอาณานิคมยามนานร่วมศตวรรษ
 
สุสานโฮจิมินห์ สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1973  มีร่างของรัฐบุรุษอาวุโสอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งได้รับการอาบน้ำยาเป็นอย่างดีอยู่ในโลงแก้ว ภายในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่  มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด  งดใช้กล้องถ่ายรูป  ปลอดเสียงโทรศัพท์  ห้ามหยุดเดินเมื่อผ่านจุดตั้งโลงแก้ว  ไกด์บอกว่าถ้ามีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าหน้าที่จะยึดไว้เป็นของกลาง และมีความยุ่งยากมากในการขอโทรศัพท์คืน
 
ผ่านจากจุดนั้นออกมาก็เป็นบ้านพักอาศัยของท่าน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นศูนย์บัญชาการในสงครามเวียดนาม  มีรถเก่าแก่ที่เคยเป็นยานพาหนะประจำตำแหน่งของท่านประธานาธิบดีทั้ง 3 คันจอดให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชม และถ่ายรูป  มีห้องทำงาน  ห้องรับแขก  เครื่องใช้ไม้สอยประจำตัวของท่าน  มีเรือนทรงไทยแบบอีสานที่ท่านประธานาธิบดีเคยมาใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในภาคอีสานแถวนครพนม  เป็นบ้านไม้ทรงใต้ถุนสูงแบบเรือนไทยอีสาน
 
ในพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ แสดงประวัติศาสตร์การเดินทางของลุงโฮ ในการศึกษาหาความรู้เพื่อกอบกู้ชาติ  ภายในอาคารอันกว้างใหญ่ไพศาลโอ่โถงมีการจัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ  จัดแสดงงานศิลปะ และภาพถ่ายต่างๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่อดีตประธานาธิบดีเคยทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่  โดยเฉพาะภารกิจในการทำสงครามกอบกู้ชาติให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหงของฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา  มีห้องนิทรรศการ  ห้องสมุด  งานวิจัย และห้องประชุม
 
สิ่งที่น่าสนใจคือ เยาวชน และประชาชนชาวเวียดนามที่หลั่งไหลเข้าไปคารวะศพลุงโฮ และศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับท่าน จนแทบไม่มีที่เสียดเท้าเดิน  ฝูงชนทยอยตามกันมาไม่ขาดสาย และเป็นเช่นนี้ทุกวันที่ที่นี่เปิดทำการให้เข้าเยี่ยมชม  และส่วนใหญ่คณะทัวร์จากต่างประเทศมักจะแค่นั่งรถผ่านหน้าที่ทำการสถานที่แห่งนี้ เพราะต้องใช้เวลาค่อนวันในการเข้าเยี่ยมชม และไม่ได้เปิดให้เข้าทุกวัน
 

 
วันที่ห้าของการเดินทาง เราผ่านเส้นทางไปยังเมืองฮาลอง ดินแดนแห่งมังกรหลับใหลในจังหวัดกว่างนิงห์  พรมแดนทางเหนือของเวียดนามที่ติดกับจีน ผ่านโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เวียดนามผลิตไฟฟ้าขายให้จีน  ได้เห็นบรรยากาศของเมืองที่มีโรงไฟถ่านหินสมบูรณ์แบบ  ทำให้อดเป็นห่วงเมืองเทพา สงขลา บ้านเราไม่ได้
 
เพราะสองข้างทางปนเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นจากถ่านหิน  เหมือนเมืองหาดใหญ่หลังน้ำท่วมใหญ่ที่ปนเปื้อนด้วยคราบโคลน  ถนนหนทาง  ฝาผนัง  รั้วบ้าน  รถยนต์  ยานพาหนะ  ต้นไม้ใบหญ้าถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นสีดำ  ชาวเวียดนามละแวกนั้นเกือบทุกคนต้องสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นในบ้านของตัวเอง  ดูแล้วน่าเวทนา
 
แต่ที่เวียดนามเขาทนกันได้  เพราะประเทศเขาเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และถูกปลูกฝังให้รักชาติ  และที่สำคัญพวกเขาเชื่อมั่นในผู้นำประเทศว่า  ทำทุกอย่างเพื่อประชาชาติเวียดนาม  ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตน และพรรคพวก  อย่างบางประเทศที่อำเภอเทพาอยู่ในสังกัด
 
การเดินทางไปเวียดนามในช่วงเวลาสั้นๆ ครั้งนี้  ทำให้ได้เห็นความแตกต่างระหว่างบ้านเรากับบ้านเขาในหลายมิติ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ที่ดิน  ที่บ้านเราเต็มไปด้วยที่รกร้างว่างเปล่า  โดยเฉพาะบริเวณที่ชลประทานเข้าไม่ถึง  กับบ้านเขาที่แทบไม่มีที่ว่างเลย  แม้แต่บริเวณที่ฝังศพของบรรพบุรุษก็กลายเป็นที่เพาะปลูก  ทำนาทุกตารางนิ้ว  ตรงไหนทำนาไม่ได้ก็ปลูกผักสวนครับ  ตลอดเส้นทางที่นั่งรถทัวร์ผ่าน
 
นอกจากนั้นได้เห็นความแตกต่างในการใช้แตรสัญญาณในการจราจร  ทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ว่า  เขานิยมบีบแตรให้สัญญาณในการจราจร  ในขณะบ้านเราถ้าบีบแตรถือว่าเป็นการหาเรื่อง  ชวนทะเลาะ  การหลบหลีกรถในเวียดนามไกด์แนะนำให้เดิน  อย่าวิ่ง  เพราะคนขับรถจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะหลบเราไปทางไหน  ถ้าเราวิ่งคนขับรถจะตัดสินใจไม่ถูก  อาจจะเกิดอันตรายได้
 
สิ่งที่สังเกตเห็นอีกอย่าง คือ  หาคนอ้วนลงพุงทั้งผู้หญิง และผู้ชายในเวียดนามยากเหลือเกิน  ตลอดห้าวันที่เราเดินทางอยู่ในเวียดนาม  เราไม่พบคนเวียดนามรูปร่างอ้วนลงพุงแบบพวกเราไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว  อาจจะเป็นเพราะคนเวียดนามเป็นคนขยัน  เลยออกกำลังกายในการทำมาหากินตลอดเวลา
 
และที่สำคัญเราไม่พบคนขอทานในเวียดนาม  นอกจากเด็ก และผู้หญิงชาวเขาในแหล่งท่องเที่ยวที่มาคะยั้นคะยอให้ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่รู้ว่าจะเอาไปไหน  สร้างความรำคาญบ้างนิดหน่อย  แต่ไกด์แนะนำว่า  ถ้าไม่ซื้อก็อย่าไปแสดงความสนใจ  ทุกอย่างก็ไม่มีอะไร
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น