xs
xsm
sm
md
lg

ชี้ทางรอด! ปราชญ์เมืองตรังแนะชาวใต้ปรับตัว ปลูกยางคู่เกษตรผสมผสานสู้ภาวะวิกฤต (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
ตรัง - ปราชญ์ชื่อดังเมืองตรัง แนะภาคใต้ยังคงต้องทำสวนยางต่อไป เพราะเป็นพืชที่เหมาะที่สุดถึงแม้ราคาจะตกต่ำ แต่เกษตรกรจะต้องปรับตัว และหันมาสร้างมูลค่าจากพื้นที่ว่างเปล่าในทุกๆ ตารางนิ้วจึงจะอยู่รอดได้ในภาวะวิกฤตเช่นนี้
   

 
วันนี้ (2 ก.พ.) นายวิรัตน์ กาญจพรหม อาจารย์วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง และปราชญ์แห่งบ้านหนำควาย ต.นาท่ามเหนือ อ.เมืองตรัง ได้พลิกฟื้นพื้นที่สวนยางพารากว่า 6 ไร่ ของครอบครัวมาสร้างเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง นับตั้งแต่ปี 2547 หรือเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ด้วยใจรักส่วนตัว และความตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้ หรือประสบการณ์ด้านการเกษตรออกไปสู่สังคม กระทั่งประสบความสำเร็จ และกลายเป็นต้นแบบของบุคคลที่ต่อสู้ชีวิต โดยเฉพาะในยุคที่ยางพารามีราคาตกต่ำอย่างมากเฉกเช่นทุกวันนี้

 
เพราะสิ่งที่อาจารย์คนนี้คิดทำ มิใช่แค่การเรียนรู้ภาคทฤษฎี แต่สามารถนำทุกอย่างมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจริงจนเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นับตั้งแต่การปลูกพืชผักเสริมลงไปจนเต็มพื้นที่สวนยางพารา ควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์นานาชนิด ส่งผลให้มีอาหารในการดำรงชีวิตประจำวัน และเหลือส่งขายเป็นอาชีพเสริม โดยไม่ต้องง้อรายได้จากยางพาราอย่างเดียวอีกต่อไป จนเป็นแบบอย่างที่ดีให้เกษตรกรที่สนใจมาเยี่ยมชมดูงานอย่างไม่ขาดสายในแต่ละวัน

พืชผักพื้นบ้าน และพืชผักสวนครัวที่ปลูกแซมระหว่างต้นยางพารานั้น จะเน้นชนิดที่รับประทานได้ทุกวัน เช่น บวบหวาน ฟัก ผักหวาน ผักกูด ถั่วพู ตำลึง ฯลฯ โดยเฉพาะผักเหลียง ที่มีอยู่ 300 ต้น ก็สามารถทำรายได้ให้แก่เจ้าของสวนตลอดทั้งปี ซึ่งล้วนเป็นการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ที่มีกระบวนการที่ปราศจากการใช้สารเคมีสังเคราะห์ จึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ผลิต และปลอดภัยต่อผู้บริโภค ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงในสวนแห่งนี้มากที่สุดก็คือ ปลาน้ำจืด ทั้งปลาดุก ปลาหมอ ปลานิล ปลาสวาย ปลากดเหลือง ปลาไหล และกบ

 
นอกจากนั้น ยังนำพื้นที่ที่ต้นยางพาราโตมากแล้วไปเลี้ยงสัตว์เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้เสริมสำหรับครอบครัว เช่น วัว แพะ ไก่ ห่าน ซึ่งก็สามารถผสมผสานทุกอย่างภายในสวนอย่างลงตัว โดยที่ยังคงกรีดยางพาราได้ตามปกติ แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีอาหาร และเงินไหลเข้ามาสู่ครอบครัว หรือวันไหนที่กรีดยางไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังกินอิ่ม เพราะผลผลิตจากพืชผัก และสัตว์เหล่านี้ เนื่องจากในชีวิตจริงของชาวใต้ปีหนึ่งๆ จะกรีดยางได้แค่ 4 เดือน หรือ 120 วันเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือต้องเผชิญต่อปัญหาฝนตก และฝนแล้ง

อย่างไรก็ตาม ปราชญ์ท่านนี้เชื่อว่า ภาคใต้ยังคงต้องทำสวนยางพาราต่อไป เนื่องจากเป็นพืชที่เหมาะที่สุดแล้วต่อสภาพฝนตกชุก เพียงแต่เกษตรกรจะต้องปรับตัว หรือเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเลิกพึ่งพารายได้จากสวนแต่เพียงเท่านั้น โดยให้ทุกคนหันมาสร้างมูลค่าจากพื้นที่ว่างเปล่าในทุกๆ ตารางนิ้วที่มี ควบคู่กับการลดรายจ่ายจากการซื้อหาสินค้าที่ผลิตขึ้นเองได้ภายในครัวเรือน เช่น น้ำยางล้างจาน ขัดพื้น ยิ่งในยุคที่ยางพารามีราคาตกต่ำเช่นนี้ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นจึงจะสามารถนำพาให้เกษตรกรอยู่รอด




 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น