คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท มีแต้ม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปร่วมออกโทรทัศน์ช่อง “นิวทีวี” ในรายการ “ชวนคิดชวนคุย ถึงเวลากัญชาเสรีในเมืองไทยถึงเวลาแล้ว...หรือยัง” ผู้ดำเนินรายการได้เปิดให้ผู้ฟังทางบ้านร่วมโหวตแสดงความคิดเห็น หลังจบรายการผู้ประสานงานได้เล่าให้ฟังว่า มีคนร่วมโหวตมากที่สุดถึง 150 คน มากกว่าทุกครั้งของรายการ และมากกว่าค่าต่ำสุดถึง 5 เท่าตัว แสดงว่าปัญหาดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชนค่อนข้างมากโดยประมาณร้อยละ 80 เห็นด้วยต่อการให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย
ผมเองเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์นานเกือบ 40 ปี หัวใจของวิชาคณิตศาสตร์คือ เป็นเครื่องมือช่วยให้คนมีวิธีคิดที่รอบด้านครบถ้วน ทุกบริบทมีวิธีการพิสูจน์ และการค้นหาความจริงได้อย่างถูกต้อง เช่น ถ้าโยนเหรียญ 1 เหรียญ จะมีความเป็นไปได้ 2 กรณีที่จะออกหัว หรือก้อย ถ้าโยน 2 เหรียญก็มีความเป็นไปได้ถึง 4 กรณี เป็นต้นโดยปกติคนทั่วไปมักจะลืมวิธีคิดเพื่อให้ได้บริบทที่ครบถ้วน
ในกรณีของเรื่องกัญชาก็เช่นเดียวกัน บริบทของปัญหาที่เป็นไปได้ก็มี 4 กรณี แต่ที่น่าสนใจมี 2 กรณี คือ คนเห็นว่า กรณีแรก “กัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ดีและกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นสิ่งที่ดีแล้ว” และกรณีที่สอง “กัญชาเป็นสิ่งที่ดีแต่กฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” น่าดีใจที่ร้อยละ 80 ของผู้ฟังทางบ้านของรายการดังกล่าวเห็นว่าเป็นกรณีที่สองครับ
ถ้าผู้ที่ส่งความเห็นมาร่วมรายการไม่ได้มีการจัดตั้งใดๆ คือ เป็นไปอย่างอิสระ (Random) จริงๆ ก็ต้องถือว่าคนไทยเราส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นแบบกรณีที่สอง บทความของผมในวันนี้ก็จะเสริมในเรื่องดังกล่าวดังต่อไปนี้
หนึ่ง ธรรมชาติของมนุษย์กับกัญชา
หลายท่านคงไม่เชื่อว่า ในร่างกายของมนุษย์เราทุกคนมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Cannabinol Receptors หรือ Endocannabinol อยู่ในสมองของเรา สารตัวนี้มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายเกือบทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบความจำ ความเจ็บปวด การเติบโตรวมทั้งภูมิต้านทานของเซลล์ในร่างกาย และสารตัวนี้ก็อยู่ในพืชที่เรียกว่า กัญชา (มีชื่อภาษาอังกฤษหลายชื่อมาก เช่น Marijuana, Hemp, Cannabis เป็นต้น)
ภาพโครงสร้างโมเลกุลของสารที่ผมนำมาเสนอข้างล่างนี้มาจากหน่วยงานราชการของสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อว่า National Institute on Drug Abuse ซึ่งสารที่อยู่ในสมองของมนุษย์เรียกว่า Anandamideโดยคำว่า “Ananda” เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “ความสุข” ในปรัชญาของชาวฮินดู (ค้นจาก Wikipedia)
ในประเทศเราพืชในตระกูลกัญชาที่เป็นที่รู้จักกันมี 2 ชนิด (ซึ่งอยู่ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ.2539) ให้เป็นสารเสพติดประเภทที่ 5) คือ กัญชา (Cannabis indicaAuth.) และกัญชง (Cannabis sativa L.) โดยสังเกตความสูงของลำต้น และความมากน้อยของสารในแต่ละชนิด
ในกัญชาจะมีสาร THC ซึ่งมีฤทธิ์ในการกระตุ้นต่อจิต หรือที่เรียกว่าทำให้เมามาก ในขณะที่สาร CBD ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเซลล์มะเร็ง และฟื้นฟูเซลล์ปกติให้แข็งแรงจะมีมากในกัญชง (ย้ำมีหน้าที่ฆ่าเซลล์มะเร็ง และฟื้นฟูเซลล์ปกติให้แข็งแรงซึ่งต่างกับสารเคมีที่ใช้ทำเคมีบำบัดซึ่งฆ่าทุกเซลล์ที่ขวางหน้า)
โดยสรุป มนุษย์กับกัญชามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ธรรมชาติได้วิวัฒนาการ และคัดสรรมาให้อย่างลงตัว มนุษย์รายใดที่ขาดสารดังกล่าวก็สามารถหามาเสริมได้จากกัญชาซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่าย และกระจายอยู่เกือบทั่วทั้งโลก ผมไม่กล้าพูดว่ากัญชาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์เพราะมันดูโอหังเกินไป แต่เป็นธรรมชาติซึ่งคนโบราณถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราควรเคารพได้จัดสรรมาให้เรา
ผมเองอธิบายไม่ได้ว่า ทำไมมนุษย์เราจึงต้องมีหู 2 ข้าง ซ้าย ขวา ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวตั้งอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ผมทราบว่า การมีใบหูในลักษณะดังกล่าวได้ทำให้เราสามารถจำแนกต้นเสียงได้ว่าเสียงมาจากทางไหน ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง นี่แหละครับคือความวิเศษ และมหัศจรรย์ของ “ธรรมชาติ” เรื่องมนุษย์กับกัญชาก็คล้ายๆ กับที่ผมได้ว่ามาแล้วครับ จะอธิบายให้ลึกซึ้งกว่านี้ ผมเองก็ไม่มีความรู้มากพอครับ
ผลงานวิจัยทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันได้ครับ ว่า กัญชาสามารถรักษามะเร็ง 20 กว่าชนิด รวมทั้งมะเร็งตับซึ่งผมจะเล่าในตอนท้าย โรคลมชักบ้าหมูชนิดรุนแรงที่ผมได้เคยเล่ามาแล้วก็ใช่ โรคกระดูกพรุนที่ผู้หญิงไทยเป็นกันมาก ก็ใช่
สอง กัญชาต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
คนที่ไม่ค่อยได้มีเวลาครุ่นคิดมากนัก มักจะมองเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องลบ เพราะมักเห็นเป็นเรื่องวุ่นวายดังปรากฏตามสื่อต่างๆ ที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า สื่อนำเสนอข่าวไม่ลึกซึ้งพอ พ่อค้ามีอิทธิพลเหนือสื่อไม่ทางตรงก็ทางอ้อม รวมทั้งการยอมจำนนต่อวาทกรรมที่ว่า “การพัฒนาต้องได้อย่างเสียอย่าง” เป็นต้น ดังนั้น การยกเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนขึ้นมาอ้างก็มักจะติดลบตั้งแต่พออ้าปากแล้ว
แต่ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในข้อที่หนึ่ง คือ มนุษย์กับกัญชาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การพรากสองอย่างนี้ออกจากกันเป็นการฝืน หรือละเมิดกฎของธรรมชาติอย่างร้ายแรงเพราะเป็นกฎที่ว่าด้วยชีวิต
“สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สุดคือ สิทธิที่จะมีสุขภาพแข็งแรง และสิทธิที่จะดูแลตนเอง ธรรมชาติด้วยภูมิปัญญาทั้งหมดของเธอได้ให้วิธีการเยียวยาสำหรับโรคทุกชนิดที่มี และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่รับมอบมาจากธรรมชาติ จากเทพเจ้า จากเทพธิดา ในการใช้พืชพรรณที่ธรรมชาติมอบให้แก่เรา” ข้อความดังกล่าวผมแปลมาจากนักเคลื่อนไหวคนหนึ่ง หากมีโอกาสผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ผมเปิดดู “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human Rights” ขององค์การสหประชาชาติ (ซึ่งมีอยู่ 30 ข้อ) ผมคิดว่ามี 3 ข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
ข้อ (1) มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระ และเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ ต่างในตนมีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ (ข้อนี้ผมตีความว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะดูแลรักษาตนเอง การห้ามมนุษย์รักษาตนเองด้วยกัญชา เป็นการละเมิดครับ)
ข้อ (4) บุคคลใดจะตกอยู่ในความเป็นทาส หรือสภาวะจำยอมไม่ได้ ทั้งนี้ ห้ามความเป็นทาสและการค้าทาสทุกรูปแบบ (มนุษย์ต้องไม่ยอมจำนน หรือจำยอม)
ข้อ (17) (1) ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยตนเอง และโดยร่วมกับผู้อื่น (2) บุคคลใดจะถูกเอาทรัพย์สินไปจากตนตามอำเภอใจไม่ได้ (ผมตีความว่า “ทรัพย์สิน” ในที่นี้รวมถึงพืชกัญชาซึ่งธรรมชาติได้มอบมาให้ด้วยครับ)
สาม กระบวนการออกกฎหมายของสหรัฐอเมริกาไม่ถูกต้อง
ปี 2454 รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นรัฐแรกที่มีการกำหนดให้กัญชาเป็นพืชที่ผิดกฎหมาย ต่อมาในปี 2474 ได้มีการกำหนดให้ผิดกฎหมาย จำนวน 29 รัฐ และเพิ่มเป็นทั่วทั้งประเทศในปี 2480
เหตุผลสำคัญในการกระทำดังกล่าวเนื่องจากความตกต่ำทางเศรษฐกิจทั่วโลก มีคนตกงานจำนวนมาก และมีชาวเม็กซิกันอพยพเข้าเมืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อกันว่าคนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อยาเสพติด ในปี 2473 ทบวงยาเสพติดของสหรัฐฯ (Federal Bureau of Narcotics , FBN) จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้น แล้วทำการรณรงค์ต่อต้านกัญชา โดยผู้อยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรกนานถึง 32 ปี โดยไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับเลย
แต่เป็นเหตุทางการเมือง และการกีดกันเชื้อชาติ สีผิว เรื่องเพศ รวมถึงการคอร์รัปชันของวงการสื่อมวลชนที่เรียกว่า “Yellow Jounalism” (หมายถึงสื่อหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีคุณภาพ) โดยเจ้าของคนเดียวแต่มีสื่อถึง 28 ฉบับด้วย
กล่าวให้แคบลงมา เอาที่หลักการจัดอันดับประเภทยาเสพติด (ซึ่งกัญชาของสหรัฐอเมริกาอยู่ในประเภทที่ 1) เขามีหลัก 3 ข้อ ผมได้นำมาพิมพ์ในแผ่นภาพพร้อมกับความเห็นของนายแพทย์ Sanjay Gupta มาแสดงด้วยครับ
หากเป็นไปตาม 3 ข้อนี้จึงจะจัดให้อยู่ในประเภทที่ 1 ซึ่งถือว่าอันตรายที่สุด แต่ในความเป็นจริงพบว่า กัญชาไม่ได้เป็นไปตามนี้ กล่าวคือ มีการรับรองทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาเองแล้วว่า กัญชาสามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1850 เพื่อลดการปวดของกรรมกร การคลื่นไส้ และรูมาติซึม
ดังนั้น การอ้างว่าไม่มีการยอมรับมาก่อนจึงเป็นความเท็จ สำหรับอีก 2 ข้อที่เหลือก็มีหลักฐานมากมายว่า “กัญชาไม่ได้มีศักยภาพสูงที่จะใช้ในทางที่ผิด” แม้ไม่มีแพทย์คอยแนะนำ ควบคุม ก็มีผู้ใช้กัญชาได้อย่างไม่เป็นอันตราย (ซึ่งผมจะกล่าวต่อไป)
สี่ กัญชากับการรักษาโรคมะเร็งตับ
ก่อนอื่น ผมขอเรียนว่า ผมไม่ใช่แพทย์ ผมศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ก็เพราะลูกศิษย์ที่ผมใกล้ชิดมากคนหนึ่งป่วย แล้วผมก็ได้เห็นกับตาตนเองว่า การรักษาด้วยกัญชาด้วยการกิน และทาน้ำมันสกัด (ที่เรียกว่า Hemp Oil) ได้ผลดีระดับหนึ่ง ผมไม่ได้มีความรู้มากมาย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้นครับ
เรื่องราวที่อยู่ในแผ่นสไลด์นี้สามารถตรวจสอบได้ครับ ใครที่มีความรู้ช่วยกันเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งจะคัดค้านด้วยก็ได้ครับ
ห้า ปัญหาความเป็นวิทยาศาสตร์ของวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์
เนื่องจากผมได้เตรียมสไลด์เพื่อออกโทรทัศน์ไว้แต่ไม่มีเวลาได้ออกอากาศ ผมจึงขออนุญาตนำมาลงในที่นี้ แต่ละแผ่นสามารถทำความเข้าใจได้ในตัวครับ
แผ่นแรกว่าด้วยปัญหา (หนึ่ง) ในวงการแพทย์ที่สะท้อนโดยแพทย์เอง ไม่ใช่ผม (ซึ่งเคยสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หนึ่งมานับสิบรุ่น)
แผ่นต่อไป เป็นคำสะท้อนของนักวิทยาศาสตร์ที่สะท้อนถึงปัญหาสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศาสตราจารย์เรเน่ ดูบอส เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในประโยคที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการประชาสังคมคือ “Think Globally, Act Locally” หรือ “ห่วงใยโลกกว้าง สรรค์สร้างท้องถิ่น”
หก ความห่วงใยของผู้คัดค้านกัญชาถูกฎหมาย
ผมได้สอบถามเพื่อนๆ หลายคนว่า กังวลอะไรที่ไม่อยากให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ส่วนมากมักห่วงว่าวัยรุ่นติดกัญชากันมากขึ้น แต่ผลงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2558 ในวารสารทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก พบว่า การทำให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายไม่ได้ทำให้วัยรุ่นเสพกัญชามากขึ้นแต่ประการใดครับ
ผมอยากจะสรุปว่า กัญชาเปรียบเสมือนโรงงานอุตสาหกรรมยารักษาโรค ทั้งระดับสามัญประจำบ้าน และระดับสำคัญมากๆ ที่โลกกำลังมีปัญหา และจนปัญญา แต่สิทธิดังกล่าวเราได้ถูกระบบการเมืองมาปล้นเอาไป ด้วยข้ออ้าง และมายาคติหลอกๆ ฉบับหน้าผมจะเขียนเรื่องกัญชง คือ โรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เราได้ถูกปล้นไปเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไบโอดีเซลสำหรับใช้กับรถยนต์ครับ