เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปร่วมออกโทรทัศน์ช่อง “นิวทีวี” ในรายการ “ชวนคิดชวนคุย ถึงเวลากัญชาเสรีในเมืองไทยถึงเวลาแล้ว....หรือยัง” ผู้ดำเนินรายการได้เปิดให้ผู้ฟังทางบ้านร่วมโหวตแสดงความคิดเห็น หลังจบรายการผู้ประสานงานได้เล่าให้ฟังว่า มีคนร่วมโหวตมากที่สุดถึง 150 คนมากกว่าทุกครั้งของรายการ และมากกว่าค่าต่ำสุดถึง 5 เท่าตัว แสดงว่าปัญหาดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชนค่อนข้างมากโดยประมาณร้อยละ 80 เห็นด้วยกับให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย
ผมเองเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์นานเกือบ 40 ปี หัวใจของวิชาคณิตศาสตร์คือเป็นเครื่องมือช่วยให้คนมีวิธีคิดที่รอบด้านครบถ้วนทุกบริบทมีวิธีการพิสูจน์ และการค้นหาความจริงได้อย่างถูกต้อง เช่น ถ้าโยนเหรียญ 1 เหรียญจะมีความเป็นไปได้ 2 กรณีที่จะออกหัวหรือก้อย ถ้าโยน 2 เหรียญก็มีความเป็นไปได้ถึง 4 กรณี เป็นต้นโดยปกติคนทั่วไปมักจะลืมวิธีคิดเพื่อให้ได้บริบทที่ครบถ้วน
ในกรณีของเรื่องกัญชาก็เช่นเดียวกัน บริบทของปัญหาที่เป็นไปได้ก็มี 4 กรณี แต่ที่น่าสนใจมี 2 กรณี คือคนเห็นว่า กรณีแรก “กัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ดีและกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นสิ่งที่ดีแล้ว” และกรณีที่สอง “กัญชาเป็นสิ่งที่ดีแต่กฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” น่าดีใจที่ร้อยละ 80 ของผู้ฟังทางบ้านของรายการดังกล่าวเห็นว่าเป็นกรณีที่สองครับ
ถ้าผู้ที่ส่งความเห็นมาร่วมรายการไม่ได้มีการจัดตั้งใดๆ คือเป็นไปอย่างอิสระ (Random) จริงๆ ก็ต้องถือว่าคนไทยเราส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นแบบกรณีที่สอง บทความของผมในวันนี้ก็จะเสริมในเรื่องดังกล่าวดังต่อไปนี้
หนึ่ง ธรรมชาติของมนุษย์กับกัญชา
หลายท่านคงไม่เชื่อว่า ในร่างกายของมนุษย์เราทุกคนมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Cannabinol Receptors (หรือ Endocannabinol) อยู่ในสมองของเรา สารตัวนี้มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายเกือบทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบความจำ ความเจ็บปวด การเติบโตรวมทั้งภูมิต้านทานของเซลล์ในร่างกายและสารตัวนี้ก็อยู่ในพืชที่เรียกว่า กัญชา (มีชื่อภาษาอังกฤษหลายชื่อมาก เช่น Marijuana, Hemp, Cannabis เป็นต้น)
ภาพโครงสร้างโมเลกุลของสารที่ผมนำมาเสนอข้างล่างนี้มาจากหน่วยงานราชการของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า National Institute on Drug Abuse ซึ่งสารที่อยู่ในสมองของมนุษย์เรียกว่า Anandamideโดยคำว่า “Ananda” เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “ความสุข” ในปรัชญาของชาวฮินดู (ค้นจาก Wikipedia)
ในประเทศเราพืชในตระกูลกัญชาที่เป็นที่รู้จักกันมี 2 ชนิด (ซึ่งอยู่ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) ให้เป็นสารเสพติดประเภทที่ 5) คือ กัญชา (Cannabis indicaAuth.) และ กัญชง (Cannabis sativa L.) โดยสังเกตความสูงของลำต้นและความมากน้อยของสารในแต่ละชนิด
ในกัญชาจะมีสาร THC ซึ่งมีฤทธิ์ในการกระตุ้นต่อจิตหรือที่เรียกว่าทำให้เมามาก ในขณะที่สาร CBD ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเซลล์มะเร็งและฟื้นฟูเซลล์ปกติให้แข็งแรงจะมีมากในกัญชง (ย้ำมีหน้าที่ฆ่าเซลล์มะเร็งและฟื้นฟูเซลล์ปกติให้แข็งแรงซึ่งต่างกับสารเคมีที่ใช้ทำเคมีบำบัดซึ่งฆ่าทุกเซลล์ที่ขวางหน้า)
โดยสรุป มนุษย์กับกัญชามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ธรรมชาติได้วิวัฒนาการและคัดสรรมาให้อย่างลงตัว มนุษย์รายใดที่ขาดสารดังกล่าวก็สามารถหามาเสริมได้จากกัญชาซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่ายและกระจายอยู่เกือบทั่วทั้งโลก ผมไม่กล้าพูดว่ากัญชาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์เพราะมันดูโอหังเกินไป แต่เป็นธรรมชาติซึ่งคนโบราณถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราควรเคารพได้จัดสรรมาให้เรา
ผมเองอธิบายไม่ได้ว่า ทำไมมนุษย์เราจึงต้องมีหู 2 ข้าง ซ้าย ขวา ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวตั้งอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ผมทราบว่าการมีใบหูในลักษณะดังกล่าว ได้ทำให้เราสามารถจำแนกต้นเสียงได้ว่าเสียงมาจากทางไหน ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง นี่แหละครับคือความวิเศษและมหัศจรรย์ของ “ธรรมชาติ” เรื่องมนุษย์กับกัญชาก็คล้ายๆ กับที่ผมได้ว่ามาแล้วครับ จะอธิบายให้ลึกซึ้งกว่านี้ ผมเองก็ไม่มีความรู้มากพอครับ
ผลงานวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันได้ครับ ว่ากัญชาสามารถรักษามะเร็ง 20 กว่าชนิด รวมทั้งมะเร็งตับซึ่งผมจะเล่าในตอนท้าย โรคลมชักบ้าหมูชนิดรุนแรงที่ผมได้เคยเล่ามาแล้วก็ใช่ โรคกระดูกพรุนที่ผู้หญิงไทยเป็นกันมาก ก็ใช่
สอง กัญชากับการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
คนที่ไม่ค่อยได้มีเวลาครุ่นคิดมากนัก มักจะมองเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องลบ เพราะมักเห็นเป็นเรื่องวุ่นวายดังปรากฏตามสื่อต่างๆ ที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า สื่อนำเสนอข่าวไม่ลึกซึ้งพอ พ่อค้ามีอิทธิพลเหนือสื่อไม่ทางตรงก็ทางอ้อม รวมทั้งการยอมจำนนต่อวาทะกรรมที่ว่า “การพัฒนาต้องได้อย่างเสียอย่าง” เป็นต้น ดังนั้น การยกเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนขึ้นมาอ้างก็มักจะติดลบตั้งแต่พออ้าปากแล้ว
แต่ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในข้อที่หนึ่ง คือมนุษย์กับกัญชาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การพรากสองอย่างนี้ออกจากกันเป็นการฝืนหรือละเมิดกฎของธรรมชาติอย่างร้ายแรงเพราะเป็นกฎที่ว่าด้วยชีวิต
“สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สุดคือสิทธิที่จะมีสุขภาพแข็งแรง และสิทธิที่จะดูแลตนเอง ธรรมชาติด้วยภูมิปัญญาทั้งหมดของเธอได้ให้วิธีการเยียวยาสำหรับโรคทุกชนิดที่มี และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่รับมอบมาจากธรรมชาติ จากเทพเจ้า จากเทพธิดา ในการใช้พืชพรรณที่ธรรมชาติมอบให้แก่เรา” ข้อความดังกล่าวผมแปลมาอยากนักเคลื่อนไหวคนหนึ่ง หากมีโอกาสผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ผมเปิดดู “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human Rights” ขององค์การสหประชาชาติ (ซึ่งมีอยู่ 30 ข้อ) ผมคิดว่ามี 3 ข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
ข้อ (1) มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ ต่างในตนมีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ (ข้อนี้ผมตีความว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะดูแลรักษาตนเอง การห้ามมนุษย์รักษาตนเองด้วยกัญชา เป็นการละเมิดครับ)
ข้อ (4) บุคคลใดจะตกอยู่ในความเป็นทาส หรือสภาวะจำยอมไม่ได้ ทั้งนี้ ห้ามความเป็นทาสและการค้าทาสทุกรูปแบบ (มนุษย์ต้องไม่ยอมจำนน หรือจำยอม)
ข้อ (17) (1) ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยตนเอง และโดยร่วมกับผู้อื่น (2) บุคคลใดจะถูกเอาทรัพย์สินไปจากตนตามอำเภอใจไม่ได้ (ผมตีความว่า “ทรัพย์สิน” ในที่นี้รวมถึงพืชกัญชาซึ่งธรรมชาติได้มอบมาให้ด้วยครับ)
สาม กระบวนการออกกฎหมายของสหรัฐอเมริกาไม่ถูกต้อง
ปี 2454 รัฐแมสซาชูเซตส์เป็นรัฐแรกที่มีการกำหนดให้กัญชาเป็นพืชที่ผิดกฎหมาย ต่อมาในปี 2474 ได้มีการกำหนดให้ผิดกฎหมายจำนวน 29 รัฐ และเพิ่มเป็นทั่วทั้งประเทศในปี 2480
เหตุผลสำคัญในการกระทำดังกล่าวเนื่องจากความตกต่ำทางเศรษฐกิจทั่วโลก มีคนตกงานจำนวนมาก และมีชาวเม็กซิกันอพยพเข้าเมืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อกันว่าคนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในปี 2473 ทบวงยาเสพติดของสหรัฐฯ (Federal Bureau of Narcotics , FBN) จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้น แล้วทำการรณรงค์ต่อต้านกัญชา โดยผู้อยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรกนานถึง 32 ปี โดยไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับเลย
แต่เป็นเหตุทางการเมืองและการกีดกันเชื้อชาติ สีผิว เรื่องเพศ รวมถึงการคอร์รัปชันของวงการสื่อมวลชนที่เรียกว่า “Yellow Jounalism” (หมายถึงสื่อหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีคุณภาพ) โดยเจ้าของคนเดียวแต่มีสื่อถึง 28 ฉบับด้วย
กล่าวให้แคบลงมา เอาที่หลักการจัดอันดับประเภทยาเสพติด (ซึ่งกัญชาของสหรัฐอเมริกาอยู่ในประเภทที่ 1) เขามีหลัก 3 ข้อ ผมได้นำมาพิมพ์ในแผ่นภาพพร้อมกับความเห็นของนายแพทย์ Sanjay Gupta มาแสดงด้วยครับ
หากเป็นไปตาม 3 ข้อนี้จึงจะจัดให้อยู่ในประเภทที่ 1 ซึ่งถือว่าอันตรายที่สุด แต่ในความเป็นจริงพบว่า กัญชาไม่ได้เป็นไปตามนี้ กล่าวคือมีการรับรองทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาเองแล้วว่า กัญชาสามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 เพื่อลดการปวดของกรรมกร การคลื่นไส้ และรูมาติซึม
ดังนั้น การอ้างว่า ไม่มีการยอมรับมาก่อนจึงเป็นความเท็จ สำหรับอีก 2 ข้อที่เหลือก็มีหลักฐานมากมายว่า “กัญชาไม่ได้มีศักยภาพสูงที่จะใช้ในทางที่ผิด” แม้ไม่มีแพทย์คอยแนะนำ ควบคุม ก็มีผู้ใช้กัญชาได้อย่างไม่เป็นอันตราย (ซึ่งผมจะกล่าวต่อไป)
สี่ กัญชากับการรักษาโรคมะเร็งตับ
ก่อนอื่น ผมขอเรียนว่า ผมไม่ใช่แพทย์ ผมศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ก็เพราะลูกศิษย์ที่ผมใกล้ชิดมากคนหนึ่งป่วย แล้วผมก็ได้เห็นกับตาตนเองว่า การรักษาด้วยกัญชาด้วยการกินและทาน้ำมันสกัด (ที่เรียกว่า Hemp Oil) ได้ผลดีระดับหนึ่ง ผมไม่ได้มีความรู้มากมาย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้นครับ
เรื่องราวที่อยู่ในแผ่นสไลด์นี้สามารถตรวจสอบได้ครับ ใครที่มีความรู้ช่วยกันเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งจะคัดค้านด้วยก็ได้ครับ
ห้า ปัญหาความเป็นวิทยาศาสตร์ของวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์
เนื่องจากผมได้เตรียมสไลด์เพื่อออกโทรทัศน์ไว้แต่ไม่มีเวลาได้ออกอากาศ ผมจึงขออนุญาตนำมาลงในที่นี้ แต่ละแผ่นสามารถทำความเข้าใจได้ในตัวครับ
แผ่นแรกว่าด้วยปัญหา (หนึ่ง) ในวงการแพทย์ที่สะท้อนโดยแพทย์เอง ไม่ใช่ผม(ซึ่งเคยสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หนึ่งมานับสิบรุ่น)
แผ่นต่อไป เป็นคำสะท้อนของนักวิทยาศาสตร์ที่สะท้อนถึงปัญหาสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศาสตราจารย์เรเน่ ดูบอส เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในประโยคที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการประชาสังคมคือ “Think Globally, Act Locally” หรือ “ห่วงใยโลกกว้าง สรรสร้างท้องถิ่น”
หก ความห่วงใยของผู้คัดค้านกัญชาถูกฎหมาย
ผมได้สอบถามเพื่อนๆ หลายคนว่า กังวลอะไรที่ไม่อยากให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ส่วนมากมักห่วงว่าวัยรุ่นติดกัญชากันมากขึ้น แต่ผลงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2558 ในวารสารทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก พบว่า การทำให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายไม่ได้ทำให้วัยรุ่นเสพกัญชามากขึ้นแต่ประการใด ครับ
ผมอยากจะสรุปว่า กัญชาเปรียบเสมือนโรงงานอุตสาหกรรมยารักษาโรค ทั้งระดับสามัญประจำบ้านและระดับสำคัญมากๆ ที่โลกกำลังมีปัญหาและจนปัญญา แต่สิทธิดังกล่าวเราได้ถูกระบบการเมืองมาปล้นเอาไป ด้วยข้ออ้างและมายาคติหลอกๆ ฉบับหน้าผมจะเขียนเรื่องกัญชง คือ โรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เราได้ถูกปล้นไปเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไบโอดีเซลสำหรับใช้กับรถยนต์ครับ
ผมเองเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์นานเกือบ 40 ปี หัวใจของวิชาคณิตศาสตร์คือเป็นเครื่องมือช่วยให้คนมีวิธีคิดที่รอบด้านครบถ้วนทุกบริบทมีวิธีการพิสูจน์ และการค้นหาความจริงได้อย่างถูกต้อง เช่น ถ้าโยนเหรียญ 1 เหรียญจะมีความเป็นไปได้ 2 กรณีที่จะออกหัวหรือก้อย ถ้าโยน 2 เหรียญก็มีความเป็นไปได้ถึง 4 กรณี เป็นต้นโดยปกติคนทั่วไปมักจะลืมวิธีคิดเพื่อให้ได้บริบทที่ครบถ้วน
ในกรณีของเรื่องกัญชาก็เช่นเดียวกัน บริบทของปัญหาที่เป็นไปได้ก็มี 4 กรณี แต่ที่น่าสนใจมี 2 กรณี คือคนเห็นว่า กรณีแรก “กัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ดีและกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นสิ่งที่ดีแล้ว” และกรณีที่สอง “กัญชาเป็นสิ่งที่ดีแต่กฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” น่าดีใจที่ร้อยละ 80 ของผู้ฟังทางบ้านของรายการดังกล่าวเห็นว่าเป็นกรณีที่สองครับ
ถ้าผู้ที่ส่งความเห็นมาร่วมรายการไม่ได้มีการจัดตั้งใดๆ คือเป็นไปอย่างอิสระ (Random) จริงๆ ก็ต้องถือว่าคนไทยเราส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นแบบกรณีที่สอง บทความของผมในวันนี้ก็จะเสริมในเรื่องดังกล่าวดังต่อไปนี้
หนึ่ง ธรรมชาติของมนุษย์กับกัญชา
หลายท่านคงไม่เชื่อว่า ในร่างกายของมนุษย์เราทุกคนมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Cannabinol Receptors (หรือ Endocannabinol) อยู่ในสมองของเรา สารตัวนี้มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายเกือบทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบความจำ ความเจ็บปวด การเติบโตรวมทั้งภูมิต้านทานของเซลล์ในร่างกายและสารตัวนี้ก็อยู่ในพืชที่เรียกว่า กัญชา (มีชื่อภาษาอังกฤษหลายชื่อมาก เช่น Marijuana, Hemp, Cannabis เป็นต้น)
ภาพโครงสร้างโมเลกุลของสารที่ผมนำมาเสนอข้างล่างนี้มาจากหน่วยงานราชการของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า National Institute on Drug Abuse ซึ่งสารที่อยู่ในสมองของมนุษย์เรียกว่า Anandamideโดยคำว่า “Ananda” เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “ความสุข” ในปรัชญาของชาวฮินดู (ค้นจาก Wikipedia)
ในประเทศเราพืชในตระกูลกัญชาที่เป็นที่รู้จักกันมี 2 ชนิด (ซึ่งอยู่ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) ให้เป็นสารเสพติดประเภทที่ 5) คือ กัญชา (Cannabis indicaAuth.) และ กัญชง (Cannabis sativa L.) โดยสังเกตความสูงของลำต้นและความมากน้อยของสารในแต่ละชนิด
ในกัญชาจะมีสาร THC ซึ่งมีฤทธิ์ในการกระตุ้นต่อจิตหรือที่เรียกว่าทำให้เมามาก ในขณะที่สาร CBD ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเซลล์มะเร็งและฟื้นฟูเซลล์ปกติให้แข็งแรงจะมีมากในกัญชง (ย้ำมีหน้าที่ฆ่าเซลล์มะเร็งและฟื้นฟูเซลล์ปกติให้แข็งแรงซึ่งต่างกับสารเคมีที่ใช้ทำเคมีบำบัดซึ่งฆ่าทุกเซลล์ที่ขวางหน้า)
โดยสรุป มนุษย์กับกัญชามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ธรรมชาติได้วิวัฒนาการและคัดสรรมาให้อย่างลงตัว มนุษย์รายใดที่ขาดสารดังกล่าวก็สามารถหามาเสริมได้จากกัญชาซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่ายและกระจายอยู่เกือบทั่วทั้งโลก ผมไม่กล้าพูดว่ากัญชาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์เพราะมันดูโอหังเกินไป แต่เป็นธรรมชาติซึ่งคนโบราณถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราควรเคารพได้จัดสรรมาให้เรา
ผมเองอธิบายไม่ได้ว่า ทำไมมนุษย์เราจึงต้องมีหู 2 ข้าง ซ้าย ขวา ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวตั้งอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ผมทราบว่าการมีใบหูในลักษณะดังกล่าว ได้ทำให้เราสามารถจำแนกต้นเสียงได้ว่าเสียงมาจากทางไหน ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง นี่แหละครับคือความวิเศษและมหัศจรรย์ของ “ธรรมชาติ” เรื่องมนุษย์กับกัญชาก็คล้ายๆ กับที่ผมได้ว่ามาแล้วครับ จะอธิบายให้ลึกซึ้งกว่านี้ ผมเองก็ไม่มีความรู้มากพอครับ
ผลงานวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันได้ครับ ว่ากัญชาสามารถรักษามะเร็ง 20 กว่าชนิด รวมทั้งมะเร็งตับซึ่งผมจะเล่าในตอนท้าย โรคลมชักบ้าหมูชนิดรุนแรงที่ผมได้เคยเล่ามาแล้วก็ใช่ โรคกระดูกพรุนที่ผู้หญิงไทยเป็นกันมาก ก็ใช่
สอง กัญชากับการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
คนที่ไม่ค่อยได้มีเวลาครุ่นคิดมากนัก มักจะมองเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องลบ เพราะมักเห็นเป็นเรื่องวุ่นวายดังปรากฏตามสื่อต่างๆ ที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า สื่อนำเสนอข่าวไม่ลึกซึ้งพอ พ่อค้ามีอิทธิพลเหนือสื่อไม่ทางตรงก็ทางอ้อม รวมทั้งการยอมจำนนต่อวาทะกรรมที่ว่า “การพัฒนาต้องได้อย่างเสียอย่าง” เป็นต้น ดังนั้น การยกเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนขึ้นมาอ้างก็มักจะติดลบตั้งแต่พออ้าปากแล้ว
แต่ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในข้อที่หนึ่ง คือมนุษย์กับกัญชาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การพรากสองอย่างนี้ออกจากกันเป็นการฝืนหรือละเมิดกฎของธรรมชาติอย่างร้ายแรงเพราะเป็นกฎที่ว่าด้วยชีวิต
“สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สุดคือสิทธิที่จะมีสุขภาพแข็งแรง และสิทธิที่จะดูแลตนเอง ธรรมชาติด้วยภูมิปัญญาทั้งหมดของเธอได้ให้วิธีการเยียวยาสำหรับโรคทุกชนิดที่มี และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่รับมอบมาจากธรรมชาติ จากเทพเจ้า จากเทพธิดา ในการใช้พืชพรรณที่ธรรมชาติมอบให้แก่เรา” ข้อความดังกล่าวผมแปลมาอยากนักเคลื่อนไหวคนหนึ่ง หากมีโอกาสผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ผมเปิดดู “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human Rights” ขององค์การสหประชาชาติ (ซึ่งมีอยู่ 30 ข้อ) ผมคิดว่ามี 3 ข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
ข้อ (1) มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ ต่างในตนมีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ (ข้อนี้ผมตีความว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะดูแลรักษาตนเอง การห้ามมนุษย์รักษาตนเองด้วยกัญชา เป็นการละเมิดครับ)
ข้อ (4) บุคคลใดจะตกอยู่ในความเป็นทาส หรือสภาวะจำยอมไม่ได้ ทั้งนี้ ห้ามความเป็นทาสและการค้าทาสทุกรูปแบบ (มนุษย์ต้องไม่ยอมจำนน หรือจำยอม)
ข้อ (17) (1) ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยตนเอง และโดยร่วมกับผู้อื่น (2) บุคคลใดจะถูกเอาทรัพย์สินไปจากตนตามอำเภอใจไม่ได้ (ผมตีความว่า “ทรัพย์สิน” ในที่นี้รวมถึงพืชกัญชาซึ่งธรรมชาติได้มอบมาให้ด้วยครับ)
สาม กระบวนการออกกฎหมายของสหรัฐอเมริกาไม่ถูกต้อง
ปี 2454 รัฐแมสซาชูเซตส์เป็นรัฐแรกที่มีการกำหนดให้กัญชาเป็นพืชที่ผิดกฎหมาย ต่อมาในปี 2474 ได้มีการกำหนดให้ผิดกฎหมายจำนวน 29 รัฐ และเพิ่มเป็นทั่วทั้งประเทศในปี 2480
เหตุผลสำคัญในการกระทำดังกล่าวเนื่องจากความตกต่ำทางเศรษฐกิจทั่วโลก มีคนตกงานจำนวนมาก และมีชาวเม็กซิกันอพยพเข้าเมืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อกันว่าคนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในปี 2473 ทบวงยาเสพติดของสหรัฐฯ (Federal Bureau of Narcotics , FBN) จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้น แล้วทำการรณรงค์ต่อต้านกัญชา โดยผู้อยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรกนานถึง 32 ปี โดยไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับเลย
แต่เป็นเหตุทางการเมืองและการกีดกันเชื้อชาติ สีผิว เรื่องเพศ รวมถึงการคอร์รัปชันของวงการสื่อมวลชนที่เรียกว่า “Yellow Jounalism” (หมายถึงสื่อหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีคุณภาพ) โดยเจ้าของคนเดียวแต่มีสื่อถึง 28 ฉบับด้วย
กล่าวให้แคบลงมา เอาที่หลักการจัดอันดับประเภทยาเสพติด (ซึ่งกัญชาของสหรัฐอเมริกาอยู่ในประเภทที่ 1) เขามีหลัก 3 ข้อ ผมได้นำมาพิมพ์ในแผ่นภาพพร้อมกับความเห็นของนายแพทย์ Sanjay Gupta มาแสดงด้วยครับ
หากเป็นไปตาม 3 ข้อนี้จึงจะจัดให้อยู่ในประเภทที่ 1 ซึ่งถือว่าอันตรายที่สุด แต่ในความเป็นจริงพบว่า กัญชาไม่ได้เป็นไปตามนี้ กล่าวคือมีการรับรองทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาเองแล้วว่า กัญชาสามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 เพื่อลดการปวดของกรรมกร การคลื่นไส้ และรูมาติซึม
ดังนั้น การอ้างว่า ไม่มีการยอมรับมาก่อนจึงเป็นความเท็จ สำหรับอีก 2 ข้อที่เหลือก็มีหลักฐานมากมายว่า “กัญชาไม่ได้มีศักยภาพสูงที่จะใช้ในทางที่ผิด” แม้ไม่มีแพทย์คอยแนะนำ ควบคุม ก็มีผู้ใช้กัญชาได้อย่างไม่เป็นอันตราย (ซึ่งผมจะกล่าวต่อไป)
สี่ กัญชากับการรักษาโรคมะเร็งตับ
ก่อนอื่น ผมขอเรียนว่า ผมไม่ใช่แพทย์ ผมศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ก็เพราะลูกศิษย์ที่ผมใกล้ชิดมากคนหนึ่งป่วย แล้วผมก็ได้เห็นกับตาตนเองว่า การรักษาด้วยกัญชาด้วยการกินและทาน้ำมันสกัด (ที่เรียกว่า Hemp Oil) ได้ผลดีระดับหนึ่ง ผมไม่ได้มีความรู้มากมาย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้นครับ
เรื่องราวที่อยู่ในแผ่นสไลด์นี้สามารถตรวจสอบได้ครับ ใครที่มีความรู้ช่วยกันเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งจะคัดค้านด้วยก็ได้ครับ
ห้า ปัญหาความเป็นวิทยาศาสตร์ของวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์
เนื่องจากผมได้เตรียมสไลด์เพื่อออกโทรทัศน์ไว้แต่ไม่มีเวลาได้ออกอากาศ ผมจึงขออนุญาตนำมาลงในที่นี้ แต่ละแผ่นสามารถทำความเข้าใจได้ในตัวครับ
แผ่นแรกว่าด้วยปัญหา (หนึ่ง) ในวงการแพทย์ที่สะท้อนโดยแพทย์เอง ไม่ใช่ผม(ซึ่งเคยสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หนึ่งมานับสิบรุ่น)
แผ่นต่อไป เป็นคำสะท้อนของนักวิทยาศาสตร์ที่สะท้อนถึงปัญหาสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศาสตราจารย์เรเน่ ดูบอส เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในประโยคที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการประชาสังคมคือ “Think Globally, Act Locally” หรือ “ห่วงใยโลกกว้าง สรรสร้างท้องถิ่น”
หก ความห่วงใยของผู้คัดค้านกัญชาถูกฎหมาย
ผมได้สอบถามเพื่อนๆ หลายคนว่า กังวลอะไรที่ไม่อยากให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ส่วนมากมักห่วงว่าวัยรุ่นติดกัญชากันมากขึ้น แต่ผลงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2558 ในวารสารทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก พบว่า การทำให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายไม่ได้ทำให้วัยรุ่นเสพกัญชามากขึ้นแต่ประการใด ครับ
ผมอยากจะสรุปว่า กัญชาเปรียบเสมือนโรงงานอุตสาหกรรมยารักษาโรค ทั้งระดับสามัญประจำบ้านและระดับสำคัญมากๆ ที่โลกกำลังมีปัญหาและจนปัญญา แต่สิทธิดังกล่าวเราได้ถูกระบบการเมืองมาปล้นเอาไป ด้วยข้ออ้างและมายาคติหลอกๆ ฉบับหน้าผมจะเขียนเรื่องกัญชง คือ โรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เราได้ถูกปล้นไปเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไบโอดีเซลสำหรับใช้กับรถยนต์ครับ