พัทลุง - เสนาธิการหน่วยทหารพัฒนาที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบป่าพรุ หลังชาวบ้านระบุมีนายทหารชื่อ พล.ต.สุวรรณ เป็นเจ้าของ แต่ทหารยันไม่พบรายชื่อดังกล่าว เตรียมประสาน สนง.ที่ดินปากพะยูน หาเจ้าของที่แท้จริงต่อไป
วันนี้ (11 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุง ว่า จากกรณีที่บริษัทปาล์มไทยพัฒนา จำกัด ได้อ้างเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. นำรถแบ็กโฮขุดปรับพื้นที่ป่าพรุ ป่าเสม็ดขาว แหล่งทำรังวางไข่ของนกน้ำกว่า 51 ชนิด ในพื้นที่บ้านท่าเนียน ม.3 ต.เกาะนางคำ อ.ปากพะยูน บนพื้นที่ 920 ไร่ และทำการเปลี่ยนสภาพขุดยกร่องเพื่อปลูกปาล์มไปแล้วกว่า 450 ไร่ จนทำให้ลูกนกตัวอ่อนจำนวนมากต้องมาตายลง และนกไร้ที่อยู่อาศัย ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้สั่งระงับ และยุติการขุดก่อนทำการพิสูจน์ให้แน่ชัดอีกครั้ง
ซึ่งวานนี้ (10 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ทางผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ กรณีบริษัทปาล์มไทยพัฒนา จำกัด ที่ห้องศาลากลางจังหวัดพัทลุง เพื่อเสนอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. โดยอนุกรรมการประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพัทลุง สำนักงานที่ดินอำเภอปากพะยูน นายอำเภอปากพะยูน และหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลสาบสงขลา ซึ่งในมติที่ประชุมยังไม่มีข้อสรุป
ขณะเดียวกัน ในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลสาบสงขลา เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าอ่าวท่ายาง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแปลงปลูกปาล์มน้ำมัน จำนวน 400 ไร่ ที่ชาวบ้านระบุว่า เป็นของนายทหารนายหนึ่งซึ่งได้ดำเนินการขุดปลูกปาล์มไปเต็มพื้นที่ และพื้นที่โดยรอบแปลงขุดพบว่า เป็นพื้นที่ป่าเสม็ดขาวที่สมบูรณ์ และตามต้นเสม็ดเป็นแหล่งทำรังของฝูงนกน้ำเป็นบริเวณกว้าง และจำนวนมาก
ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ทำพิกัดเพื่อนำมาลงบันทึกก่อนที่จะตรวจสอบเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ว่าออกโดยมิชอบตามกฎหมายหรือไม่ แต่จากการไปขอดูเอกสารที่สำนักงานที่ดินอำเภอปากพะยูน ยังคงบ่ายเบี่ยงไม่สามารถเอาเอกสารต้นฉบับมาให้ดูได้ ทางเจ้าหน้าที่จึงรายงานไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อหาแนวทางดำเนินการต่อไป
ซึ่งต่อมาทางด้าน พ.อ.อุดมศักดิ์ เกียรติเจริญเสรี เสนาธิการหน่วยทหารพัฒนาที่ 4 กองบัญชาการทหารพัฒนากองทัพไทย พร้อมด้วยนายทหารได้ลงพื้นที่แปลงปลูกปาล์มน้ำมันที่มีการปลูกไปแล้วกว่า 400 ไร่ โดยชาวบ้านระบุว่า แปลงปาล์มดังกล่าวมีการนำรถแบ็กโฮของทหารมาขุดเพื่อยกร่องคันดิน พร้อมกับตัดถนนเข้ามาในป่าพรุ ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านยังคงยืนยันแบบเดิมว่า เป็นรถทหาร
จากการสอบถาม นายสมพร ชูช่วย ผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.เกาะนางคำ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง กล่าวว่า ในช่วงการดำเนินการขุดป่าพรุในพื้นที่ 400 ไร่นั้น หน่วยทหารได้เข้ามาสร้างถนนอีกสายซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน แต่คนละสายกับที่ชาวบ้านอ้างถึง และการขุดคันดินก็เช่นกัน เป็นช่วงที่กลุ่มนายหน้าที่ดินนำรถแบ็กโฮจาก จ.สุราษฎร์ธานี เข้ามาขุด และรถแบ็กโฮมีสีส้มซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับของทหาร ทำให้ชาวบ้านเข้าใจเช่นนั้น แต่ช่วงที่กลุ่มนายหน้าที่ดินเข้าทำการขุด ตนเองไม่กล้าเข้าใกล้เพราะไม่อยากกระทบกระทั่งต่อกลุ่มนายทุน และสำหรับพื้นที่ดังกล่าวตนทราบเพียงคร่าวๆ ว่าเป็นของนายทหารท่านหนึ่งชื่อ พล.ต.สุวรรณ แต่ไม่ทราบนามสกุล และไม่ทราบสังกัดว่ามาจากหน่วยไหนเช่นกัน
พ.อ.อุดมศักดิ์ เกียรติเจริญเสรี เสนาธิการหน่วยทหารพัฒนาที่ 4 กองบัญชาการทหารพัฒนากองทัพไทย กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น และสอบถามชาวบ้าน พร้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในพื้นที่พอจะได้ข้อมูล และจากการตรวจสอบข้อมูลการปฏิบัติงานย้อนหลังไป 2 ปี ของหน่วยทหารพัฒนาที่ 4 ไม่ได้มีโครงการนำรถแบ็กโฮมาขุดในพื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด มีเพียงการนำรถเกรดเข้ามาเกรดถนน และถมดินในพื้นที่ใกล้ๆ เท่านั้น และจากการตรวจสอบรายชื่อนายทหารที่ชาวบ้านกล่าวถึง พล.ต.สุวรรณ ก็ไม่พบรายชื่อดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งจะประสานข้อมูลไปยังสำนักงานพัฒนาที่ดินปากพะยูนอีกครั้งว่าเจ้าของพื้นที่ที่แท้จริงคือใคร
ด้าน นายบัณฑิต สุภาไชยกิจ หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลสาบสงขลา กล่าวว่า จากการตรวจสอบพื้นที่ป่าพรุที่มีการดำเนินการขุดยกร่องเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่กลุ่มนายทุนจะมีเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. มาอ้างต่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งยากต่อการตรวจสอบ เพราะเมื่อประสานไปยังเจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอปากพะยูน จะขอดูสำเนาต้นฉบับ ทางเจ้าหน้าที่มักจะไม่ให้ความร่วมมือ จนทำให้กลุ่มทุนนำเครื่องจักรกลเข้าแปรสภาพพื้นที่ และดำเนินการปลูกปาล์มไปเป็นจำนวนมาก บางแปลงเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะขอดูสำเนาเอกสารสิทธินานกว่า 2 ปี ก็ยังไม่ได้ดูจนเกิดให้มีช่องว่างในการตรวจสอบ และเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานาน