พัทลุง - เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานลงตรวจพื้นที่ป่าพรุเสม็ดขาวอีกรอบ หลังบินสำรวจพบนายทุนบุกรุกเหี้ยนเตรียมไถปรับพื้นที่ปลูกปาล์มเกือบ 1 พันไร่ ขณะนายทุนยังกล้านำเอกสารสิทธิมาติดประกาศในพื้นที่ ชาวบ้านใจชื้นหลังป่าไม้ลงตรวจ ชี้หากรอผู้ว่าราชการจังหวัด กับทหารป่าพรุคงถูกทำลายเรียบ
วันนี้ (5 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลสาบสงขลา เจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามป่าไม้ที่ 3 และที่ 4 จ.พัทลุง ได้สนธิกำลังลงพื้นที่ป่าเสม็ดขาว หลังจากเมื่อวานนี้ได้บินทางอากาศสำรวจพบพื้นที่ป่าพรุเสม็ดขาว ในพื้นที่บ้านท่าเนียน ม.3 ต.เกาะนางคำ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง พบถูกบริษัทปาล์มไทยพัฒนา จำกัด ได้อ้างเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. นำรถแบ็กโฮมาขุดยกร่องเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันบนพื้นที่ 920 ไร่ จนได้รับความเสียหาย ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าอนุรักษ์ของชาวบ้าน และเป็นแหล่งทำรังวางไข่ของนกน้ำกว่า 51 ชนิด พร้อมทั้งเป็นแหล่งอาหารของชุมชนเป็นที่พักไข่ตัวอ่อนของปลาน้ำจืดหลายชนิด
ซึ่งจากการลงพื้นที่ในวันนี้ของเจ้าหน้าที่พบว่า ทางบริษัทปาล์มไทยพัฒนา ได้นำป้ายไวนิลมาติดตรงปากทางเข้าว่า พื้นที่ดังกล่าวออก น.ส. 3 ก. โดยชอบตามกฎหมายของสำนักงานที่ดินอำเภอปากพะยูน พร้อมนำ น.ส.3 ก. มาติดไว้จำนวนหลายแปลง และมีการตัดถนนเข้าไปในบริเวณป่าพรุบ้านท่าเนียน ระยะทางยางกว่า 2 กิโลเมตร พร้อมมีการตัดต้นเสม็ดขาวออกไป แล้วทำการขุดยกร่องเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน โดยทำการขุดไปแล้วกว่า 450 ไร่ ทางเจ้าหน้าที่จึงเร่งทำพิกัด และนอกจากนี้ ยังพบว่าตามต้นเสม็ดที่ได้ทำการขุดไปนั้นพบรังนกน้ำ และตัวอ่อนของนกหลายชนิดตกจากรังตายเป็นจำนวนมาก
ด้านนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ผอ.สำนักอนุรักษ์ควบคุมการตัดไม้ทำป่าและควบคุมไฟป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าว่า ในวันนี้จากการลงพื้นที่สำรวจอย่างละเอียด พบว่าพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก และการกระทำของบริษัทไม่เกรงกลัวกฎหมาย ซึ่งเบื้องต้นจากการตรวจสอบพบมีการออกโฉนด น.ส.3 ก.โดยมิชอบด้วยกฎหมาย รวมพื้นที่ 23 แปลง ตนจะทำหนังสือถึงอธิบดีเพื่อให้เพิกถอนเอกสารสิทธิพื้นที่ดังกล่าว พร้อมประสานเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับคดีในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบเอาโทษบริษัท และเจ้าพนักงานที่ดินของรัฐที่ที่ออกเอกสารสิทธิดังกล่าวโดยมิชอบ และให้หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลหลวง ทำหนังสือถึงบริษัทให้ยุติการดำเนินการในพื้นที่ทั้งสิ้น
ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ระบุว่า หลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้เอาจริงลงพื้นที่ตรวจสอบถือว่าเป็นสิ่งที่แม้ป่าพรุดังกล่าวจะได้รับความเสียหายไปแล้วบางส่วน แต่เชื่อว่าหากไม่มีการดำเนินการต่อไปของกลุ่มนายทุน ชาวบ้านในพื้นที่จะได้ประโยชน์กลับคืนมา และก่อนหน้านี้ หากชาวบ้านรอให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยทหารเข้าตรวจสอบป่านนี้ป่าพื้นที่ดังกล่าวคงได้รับความเสียหายหมดสิ้นเพราะความเพิกเฉยของผู้ว่าฯ และทหารในพื้นที่ที่ไม่เห็นความสำคัญของพื้นที่ป่าพรุ