ชุมพร - แม่สู้ชีวิตเก็บขยะขายกว่า 30 ปี ส่งลูกชายหญิง 3 คน เรียนจบปริญญาตรี-ปริญญาเอก เป็นด็อกเตอร์สอนหนังสือมหาวิทยาลัยดัง ยังรักที่จะยึดอาชีพเก็บขยะขายตลอดไป
เรื่องราวของผู้เป็นแม่ที่สู้ชีวิตอย่างไม่ย่อท้อต้องตรากตรำทำงานหนักตระเวนเก็บขยะขายหารายได้เลี้ยงชีพมานานกว่า 30 ปี ชาวบ้านทั่วไปจะพบเห็นขับรถจักรยานยนต์มีรถเข็นพ่วงท้ายตระเวนไปตามถนนตรอกซอกซอย จนคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่เป็นประจำ ที่หลายคนอาจมองว่า เป็นแค่คนเก็บขยะขายหาเช้ากินค่ำ แต่เบื้องหลังได้เลี้ยงดูลูกๆ 3 คน จนประสบความสำเร็จในชีวิต ส่งเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี ปริญญาเอก เป็นด็อกเตอร์เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ
เรื่องราวของแม่สู้ชีวิตดังกล่าวเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2558 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 27/12 ถนนปริมินทรมรรคา ซอย 3 ตำบลท่าตะเภา เขตเทศบาลเมืองชุมพร พบกับนางบุษรี จุลเพ็ญ อายุ 63 ปี หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “ป้าอ้อย” มีอาชีพเก็บขยะขาย ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านเช่าชั้นเดียวอยู่ท้ายซอย ที่หน้าบ้านมีกองขยะประเภทกระดาษ ลังกระดาษ พลาสติก เศษเหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าเสียชำรุดกองพะเนินอยู่จำนวนมาก และมีรถจักรยานยนต์ใช้รถเข็นพ่วงท้ายเป็นยานพาหนะคู่ชีพของ “ป้าอ้อย” ที่ใช้ทำมาหากินจอดอยู่หน้าบ้าน
นางบุษรี หรือ “ป้าอ้อย” กล่าวถึงชีวิตของตนเองว่า ก่อนหน้านี้มีอาชีพเป็นกระเป๋ารถบัสสายประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ส่วนสามีเป็นคนขับรถบัสคันดังกล่าว มีลูกด้วยกัน 2 คนชื่อ ด.ช.กุลชาติ จุลเพ็ญ และ ด.ญ.ณภัทรวรัญ จุลเพ็ญ ต่อมา ได้เลิกรากันกับสามี ซึ่งตอนนั้นลูกคนโตอายุ 7 ขวบ คนน้องอายุ 5 ขวบ ตนต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 คน และเช่าบ้านอยู่ในเขตเทศบาลเมืองชุมพร แรกๆ ได้ยึดอาชีพแร่ขายขนมหวาน แต่ขายไม่ดีทำให้เงินขาดมือไม่พอใช้จ่ายเลี้ยงดูลูกๆ จึงพลิกผันตัวเองมามาขับรถจักรยานยนต์ใช้รถเข็นพ่วงท้าย ออกตระเวนเก็บขยะตามถังขยะและที่ถูกทิ้งอยู่ตามที่สาธารณะ ริมถนนเกือบทุกวัน และรับซื้อจากชาวบ้านทั่วไปด้วย จนถึงปัจจุบันยึดอาชีพเก็บขยะขายมานานกว่า 30 ปีแล้ว ทำให้มีรายได้เลี้ยงชีพ และส่งลูกๆ เรียนหนังสือได้อย่างไม่เดือดร้อน
นางบุษรี แม่สู้ชีวิต กล่าวต่อว่า ปัจจุบันตนมีสามีใหม่ชื่อ นายประมวล ศรีพิจิตร อายุ 55 ปี อยู่กินกันมานานหลายปีมีลูกด้วยกัน 1 คนชื่อ นายเหล็กกล้า ศรีพิจิตร อายุ 25 ปี สามีก็ขยันขันแข็งมีหน้าที่ช่วยเหลือคัดแยกขยะ และถอดแยกชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าๆ ที่ซื้อมาเพื่อนำไปส่งขายให้แก่ร้านรับซื้อของเก่า ช่วงเย็นๆ สามีก็จะออกไปขับรถจักรยานยนต์รับจ้างที่หน้าตลาดสดเทศบาลเมืองชุมพร และกลับเข้าบ้านตอนเที่ยงคืนทำเป็นประจำทุกวัน ที่ผ่านมา ตนได้ยึดอาชีพเก็บขยะขายมานานเก็บออมด้วยความประหยัดเลี้ยงดูส่งเสียลูกๆ ทั้ง 3 คน ให้เรียนหนังสือตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนทุกวันนี้ลูกๆ ทุกคนเติบโตเรียนจบระดับปริญญาตรี ปริญญาเอก มีอาชีพหน้าที่การงานที่ดีมั่นคงกันทุกคนแล้ว ซึ่งลูกๆ ได้ขอร้องให้ตนเลิกอาชีพนี้เพราะเห็นเราอายุมากแล้วกลัวว่าการขับรถจักรยานยนต์ตระเวนเก็บขยะขายจะเกิดอันตราย แต่ตนก็ยังรักอาชีพนี้ทุกวันก็ยังต้องออกตระเวนเก็บขยะขาย เพราะตนถือว่าเป็นอาชีพสุจริตที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมาได้ทุกวันนี้
นางบุษรี กล่าวถึงการยึดอาชีพเก็บขยะขายเลี้ยงชีพส่งลูกเรียนหนังสือจนประสบความสำเร็จในชีวิตว่า ปัจจุบันลูกชายคนโตคือ นายกุลชาติ จุลเพ็ญ อายุ 37 ปี จบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จบปริญญาโท สาขาการขึ้นรูปโลหะ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และจบปริญญาเอก สาขาการขึ้นรูปโลหะที่ Nippon Institute Technology จากประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน ดร.กุลชาติ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ส่วนลูกสาวคนรองชื่อ น.ส.ณภัทรวรัญ จุลเพ็ญ อายุ 35 ปี จบปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำงานอยู่บริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานคร และคนลูกสุดท้องกับสามีใหม่ชื่อ นายเหล็กกล้า ศรีพิจิตร อายุ 25 ปี จบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำงานอยู่บริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานคร
นางบุษรี ได้กล่าวฝากถึงลูกทุกคนในฐานะเป็นแม่ว่า สำหรับแม่นั้นทำได้ทุกอย่างเพื่ออนาคตของลูก ขอให้ลูกๆ ทุกคนนึกถึงแม่ และผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูมา จงตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าเกเรทำตัวไม่ดี ส่วนลูกคนไหนที่เดินผิด หรือเดินหลงทางเมื่อรู้ตัวเองก็อย่าเดินต่อไปขอให้หยุด และถอยหลังกลับมาตั้งหลักใหม่ ชีวิตย่อมเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
ด้าน น.ส.ณภัทรวรัญ ลูกสาวนางบุษรี ซึ่งได้กลับมาเยี่ยมแม่กล่าวว่า ตนรัก และภูมิใจในตัวแม่มากที่แม่ลำบากต่อสู้เพื่อลูกมาตลอด จนลูกๆ มีทุกวันนี้ก็เพราะแม่ ตอนนี้ตนกำลังคิดว่าจะกลับมาอยู่บ้านช่วยแม่ทำงานอาจจะเปิดเป็นร้านรับซื้อของเก่าซึ่งเป็นงานที่แม่ชอบแม่รัก เพราะตนเป็นห่วงแม่มากแม้ลูกๆ จะห้ามก็ไม่ฟังยังขับรถจักรยานยนต์ตระเวนเก็บขยะรับซื้อของเก่าไปทั่ว บางครั้งขับรถจักรยานยนต์ไปรับซื้อถึง อ.สวี มีระยะทางไปกลัวเกือบ 100 กิโลเมตร จึงอยากจะมาอยู่ใกล้ๆ ช่วยดูแม่ที่แก่มากแล้ว