ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - รอง ผบ.ตร.เอก ไล่บี้คดีโรฮีนจาใกล้เดตไลน์ ด้านตำรวจ และฝ่ายปกครองเร่งหาตัวโรฮีนจาที่หลบหนี 11 คน ทางฝ่ายสอบสวนพบข้อมูลสำคัญบนเขาแก้วเชื่อมโยงผู้ต้องหาค้ามนุษย์
วันนี้ (7 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า ตลอดทั้งวัน พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งลงพื้นที่มาติดตามความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ได้ควบคุมการสอบสวน และสอบพยานบางคนด้วยตนเอง ซึ่งในวันนี้ได้มีการนำพยานทั้งที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจ และผู้นำศาสนาในพื้นที่ จ.สงขลา สตูล มาสอบปากคำเพื่อนำไปประกอบสำนวนการสอบสวนเอาผิดต่อผู้ต้องหาในคดีนี้
ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างเคร่งเครียด เนื่องจากทางฝ่ายสอบสวนทั้งตำรวจ และพนักงานอัยการต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลาใกล้ถึงกำหนดส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาในวันที่19 มิถุนายนนี้ ก่อนยื่นฟ้องศาล และต้องเรียกพยานแวดล้อมทั้งในพื้นที่สงขลา สตูล และระนอง มาสอบสวนอีกหลายปาก และในวันพรุ่งนี้ ทาง พล.ต.อ.เอก จะมีการประชุมกับ ร.ท.สมนึก เสียงก้อง รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน อัยการเขต ตำรวจภูธรภาค 8 และภาค 9 เพื่อสรุปความคืบหน้าภาพรวมทั้งหมดของคดี
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดยังไม่มีการออกหมายจับ หรือมีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวเพิ่มเติมโดยหมายจับยังอยู่ที่ 84 หมาย ควบคุมตัวได้แล้ว 53 คน และยังหลบหนีอีก 31 คน แต่มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาคนสำคัญเพิ่มเติมอีก 1 คน
ส่วนความคืบหน้ากรณีชาวโรฮีนจาที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หลบหนีออกจากที่พักพิงภายในสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เมื่อช่วงกลางดึกของเมื่อคืนนี้
โดยล่าสุด พบว่าได้หลบหนีออกไปทั้งหมด 11 คน จากที่อยู่ภายในศูนย์พักพิงแห่งนี้ 112 คน โดยจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตภูมิ และฝ่ายปกครองอำเภอรัตภูมิ ยังคงเร่งติดตามชาวโรฮีนจาทั้ง 11 คนแต่ยังไม่พบตัว โดยคาดว่าน่าจะยังคงซ่อนตัวอยู่ตามชายป่าในหมู่บ้านไม่ไกลจากศูนย์พักพิง หรือตามแนวเชิงเขาแก้ว พร้อมกับประสานผู้นำท้องถิ่น และชาวบ้านในพื้นที่ช่วยแจ้งเบาะแส เพราะจากสภาพความหิวโหยอาจจะออกมาขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน
สำหรับชาวโรฮีนจาทั้ง 11 คน ได้หลบหนีออกจากสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เมื่อประมาณเที่ยงคืนที่ผ่านมา โดยปีนกำแพงที่อยู่ด้านหลังเรือนนอนออกไป แม้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยเฝ้าดูแลอยู่ 2 นายก็ตาม
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เชื่อว่าไม่น่าจะมีนายหน้ามารับตัวไป เนื่องจากที่ผ่านมา มีการคุมเข้มการเข้าออกภายในสถานคุ้มครองเป็นอย่างดี ห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าออกอย่างเด็ดขาด แต่สาเหตุน่าจะมาจากความอึดอัดที่ต้องอยู่โดยไม่ทราบชะตากรรม และต้องการหลบหนีเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม
และหลังจากที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวน ทั้งพนักงานสอบสวน และอัยการในคดีค้ามนุษย์ 12 นาย พร้อมเจ้าหน้าที่กรมอุทยาน ได้นำตัวเหยื่อค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา 1 ราย ไปสำรวจเส้นทางบนเทือกเขาแก้ว ตั้งแต่ อ.สะเดา จ.สงขลา ถึง อ.ควนโดน จ.สตูล ซึ่งถูกระบุว่าใช้เป็นเส้นทางลำเลียงชาวโรฮีนจา ปรากฏว่า พบข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เนื่องจากเมื่อนำเหยื่อไปถึงหลักเขตไทย-มาเลเซีย ที่ 4C/34 พบแคมป์โรฮีนจาอยู่ในเขตประเทศมาเลเซีย ซึ่งเหยื่อระบุว่า แคมป์แห่งนี้เป็นของ นายเจ๊ะอาด โต๊ะดิน หนึ่งในผู้ต้องหาเครือข่ายค้ามนุษย์ใน จ.สตูล ที่ถูกออกหมายจับ และยังหลบหนี
แคมป์นี้อยู่ห่างจากฝั่งไทยใช้เวลาเดินประมาณ 15-20 นาที มีคนอพยพมาอยู่ราว 200-1,500 คนส่วนใหญ่เป็นชาวบังกลาเทศ และโรฮีนจา โดยเหยื่อระบุว่า อยู่ที่แคมป์นี้มานานกว่า 4 ปี รับจ้างทำอาหารเลี้ยงผู้อพยพ ได้รับเงินเดือน 15,000 บาท ซึ่งข้อมูล และคำให้การทั้งหมดเจ้าหน้าที่จะนำไปประกอบสำนวนการสอบสวน