คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ระบบราชการ (bureaucratic model) ตามแนวคิดของ แมกซ์เวเบอร์ นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ผู้นำเสนอรูปแบบองค์การซึ่งเขาเชื่อว่าจะเป็นแนวทางที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดที่จะทำให้องค์การบรรลุเป้าหมาย เป็นรูปแบบองค์การที่ใช้เหตุผล (logic) และประสิทธิภาพ (efficient) โดยมีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบ (order) และตามกฎหมาย (legitimate authority) มีลักษณะสำคัญอยู่ 6 ประการคือ
1.มีสายบังคับบัญชาเป็นลำดับตามหน้าที่ เป็นรูปพีระมิด ผู้บังคับบัญชาที่อยู่สูงกว่าจะควบคุมผู้อยู่ในบังคับบัญชาที่ต่ำกว่า 2.การแบ่งงานกันทำตามความถนัด และความสามารถ 3.ความไม่เป็นส่วนตัว มีส่วนลักษณะเป็นทางการไม่ใช่ส่วนตัว 4.มีกฎระเบียบ และวิธีปฏิบัติอย่างเป็นทางการ เสมอภาค และเท่าเทียม 5.ความก้าวหน้าในงานอาชีพตามหลักคุณภาพ อาศัยความรู้ความสามารถในการทำหน้าที่ และเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ตามความรู้ความสามารถ 6.การแบ่งแยกทั้งเรื่องส่วนตัว และทรัพย์สินของบุคคลออกจากองค์การ
ประเทศไทยนำระบบราชการตามแบบชาติตะวันตกมาใช้ในการบริหารประเทศตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยการปฏิรูปการปกครองเมื่อ พ.ศ.2435 นำรูปแบบการปกครองแบบกระทรวงทบวงกรมมาใช้ ต่อมา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกครั้งใหญ่ พ.ศ.2475 และเมื่อมีระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งการปกครอง หรือระบบราชการออกเป็น 3 ส่วนคือ
การปกครองส่วนกลาง ประกอบด้วย กระทรวง ทบวง กรม กอง แผนก
การปกครองส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย สุขาภิบาล เทศบาล ต่อมา มีกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา ปัจจุบัน มีองค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์การบริหารส่วนตำบล
ระบบราชการไทยมีโครงสร้างการปกครองส่วนกลาง และการปกครองส่วนภูมิภาค เป็นโครงสร้างหลักในรอบร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เป็นโครงสร้างที่ไม่มีส่วนยึดโยงกับประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย นอกจากผู้บริหารระดับกระทรวง หรือรัฐมนตรีที่บางส่วนมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยอ้อม (ไม่ได้เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีโดยตรง) ถือว่าประสบความล้มเหลว เพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น และไม่เป็นไปตามหลักการของระบบราชการตามหลักสากล อีกทั้งเป็นบ่อเกิดของการทุจริตคอร์รัปชัน ระบบสอพลอ เล่นพรรคเล่นพวก ระบบเส้นสาย การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในทุกระดับทุกวงการ ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค
ส่วนการปกครองส่วนท้องถิ่น ยังถูกมองว่าเต็มไปด้วยผู้แสวงหาผลประโยชน์ ทุจริตคอร์รัปชัน ทำมาหากินกับงบประมาณที่มาจากเงินภาษีของประชาชน แม้ว่าผู้บริหาร และฝ่ายตรวจสอบ หรือนิติบัญญัติจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่ก็เป็นการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ และเที่ยงธรรม โดยเฉพาะมีการซื้อสิทธิขายเสียง และต่อรองผลประโยชน์นานาประการ
ระบบราชการไทยโดยภาพรวมจึงไม่สามารถจะสร้างศรัทธาในหมู่ประชาชนทั่วไปได้ แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะนิยมชมชอบให้บุตรหลานรับราชการ แต่ไม่ใช่เพราะศรัทธาในอาชีพนี้ ในฐานะที่จะสร้างเกียรติภูมิแก่วงศ์ตระกูล เพียงแต่เห็นว่าเป็นอาชีพที่มีความมั่นคง และมีสวัสดิการเอื้อต่อพ่อแม่ และทายาทผู้สืบสันดาน
ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นภาคใต้ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีโครงการขนาดใหญ่แบบท่าเรือน้ำลึก โรงไฟฟ้าถ่านหิน การสัมปทานเขาคูหา และการค้ามนุษย์ที่กำลังอยู่ในความสนใจของชาวไทย และชาวโลก ล้วนสะท้อนให้เห็นความล้มเหลว และชั่วร้ายของระบบราชการไทย ดังนี้
ประการแรก คนในระบบราชการทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ไม่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของท้องถิ่น และของคนส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จากโครงการขนาดใหญ่ที่เอื้อต่อนายทุน แต่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว อย่างโครงการท่าเรือน้ำลึก โรงไฟฟ้าถ่านหิน และการสัมปทานเขาคูหา ข้าราชการทุกระดับต่างให้การสนับสนุนโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของประชาชน และมีท่าทีเฉยเมย มิหนำซ้ำบางครั้งถึงกับข่มขู่คุกคามประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวก็มี
ประการที่สอง ข้าราชการส่วนท้องถิ่น และส่วนภูมิภาคเรียกรับผลประโยชน์ และเป็นพวกเดียวกันกับผู้กระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ธุรกิจผิดกฎหมายส่วนใหญ่ล้วนมีข้าราชการเกือบทุกสังกัดที่เกี่ยวข้องต่อการควบคุม และดูแลเรื่องนั้นๆ
ประการที่สาม มาตรการที่ทางราชการมีต่อการกระทำความผิดอย่างร้ายแรงของข้าราชการเหล่านี้คือ การย้ายเข้าส่วนกลาง ภาค หรือจังหวัด รอให้เรื่องเงียบลงก่อนแล้วค่อยกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม
ดังนั้น ในการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ คนสงขลาที่เข้าร่วมในเวทีระดับอำเภอ และจังหวัด จึงมีข้อเสนอที่รุนแรง และเด็ดขาดต่อข้าราชการ เช่น ให้คดีทุจริตคอร์รัปชันไม่มีอายุความ ให้เอาผิดผู้ทุจริตคอร์รัปชันไปถึงโคตรเหง้าวงศ์ตระกูล ให้ข้าราชการแสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินเหมือนนักการเมือง และให้มีโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิต เป็นต้น