โดย...ทีมข่าวเฉพาะกิจภูมิภาค
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม วันนี้เครือข่ายการค้าน้ำมันเถื่อนของ “เสี่ยโจ้ - นายสหชัย เจียรเสริมสิน” ถูกนำไปเชื่อมโยงให้เป็น 1 ในข้อหาหลักใช้เล่นงานแก๊ง “เดอะกิ๊ก - พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” โดยถือเป็นการปั่นกระแสได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเลศนัยสำคัญ
หลังเกิดปรากฏการณ์ฟ้าผ่าฉับพลันในกลางดึกเข้าใส่แก๊งตำรวจสอบสวนกลาง แล้วลุกลามบานปลายขยายวงต่อเนื่องมาจนวันนี้ ข่าวคราวของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนกลุ่มนายสหชัย ดูเหมือนจะเป็นตัวละครที่ถูกทำให้ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ทั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งระดับบิ๊กๆ ในสังกัดเดียวกันได้ชักแถวออกมาให้ข้อมูลเพื่อชงกระแส พร้อมกับยืนยันอย่างหนักแน่นว่า มีตำรวจเกี่ยวข้องกับส่วยน้ำมันเถื่อนของนายสหชัย ไม่เกิน 10 นาย แต่ที่การันตีจริงจังคือ ในจำนวนตำรวจที่รับส่วยไม่มีระดับนายพลเลยสักรายเดียว
ล่าสุด ดันกระแสกันถึงขั้นตั้งค่าหัวให้แก่นายสหชัย เป็นจำนวนเงินสูงถึง 1 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ชี้เบาะแสให้แก่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวได้ ภายหลังจากที่เขาหนีคำพิพากษาศาลจังหวัดปัตตานีสั่งให้จำคุกไปได้อย่างลอยนวลเมื่อไม่นานมานี้เอง
จึงต้องนับว่าไม่ธรรมดาทีเดียวที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต่างทุ่มเทให้ความสำคัญต่อเครือข่ายการค้าน้ำมันเถื่อนขบวนการนี้ โดยเฉพาะการปลุกปั้นให้ นายสหชัย กลายเป็นบุคคลที่สังคมต้องรับรู้ และจับตาอย่างเป็นพิเศษ
จึงไม่แปลกที่เวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้เกิดคำถามว่า มีตำรวจรับส่วยน้ำมันเถื่อนแค่ไม่ถึง 10 นาย และไม่มีนายพลเลยจริงหรือ มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นๆ รับส่วยน้ำมันเถื่อนด้วยหรือไม่ ที่สำคัญส่วย และขบวนการการค้าน้ำมันเถื่อนในประเทศนี้มีเพียงเท่านี้เองหรือ รวมถึงนายสหชัย คือใคร มีความเป็นมาอย่างไร ทำไมจึงกลายเป็นตัวละครสำคัญในการใช้ทำลายล้างแก๊งตำรวจสอบสวนกลางดังกล่าว
สำหรับ นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ “เสี่ยโจ้” ปัจจุบันอายุเพียงประมาณ 46 ปี พื้นเพเป็นคน จ.เพชรบุรี ความที่เป็นลูกค้าจีน และต้องการหาที่ทางทำการค้า เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วขณะเรียน ม.5 ที่โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย ในกรุงเทพฯ ก็ตัดสินใจหันเหชีวิตไปปักหลักอยู่กับญาติใน จ.ปัตตานี เริ่มทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ กับบรรดาเจ้าของเรือประมง แล้วก็ก้าวขึ้นเป็นเจ้าของแพปลา
ความที่เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย เมื่อสบโอกาสเขาก็เข้าสู่การเป็นเจ้าของโต๊ะรับแทงฟุตบอลและหวยเถื่อน พร้อมๆ กับขยับขยายกิจการแพปลาแตกไลน์ไปสู่ธุรกิจค้าไม้เพื่อใช้ในการซ่อมแซมและต่อเรือประมง แรกๆ นำเข้าไม้จากมาเลเซีย แล้วได้รับคำแนะนำว่าควรจะหาไม้คุณภาพมาขายจะได้กำไรกว่า จึงมีการสั่งซื้อไม้จาก จ.สมุทรสงคราม มาทดแทน
เมื่อคร่ำหวอดในธุรกิจค้าไม้ทำให้ได้พบ และสนิทสนมกับพ่อค้าไม้ในกรุงเทพฯ ที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งเขาเป็นถึงลูกบุญธรรมของอดีตรัฐมนตรีกระทรวงกสิกรรมของ สปป.ลาว จึงเกิดการร่วมทุนทำการค้าไม้ระหว่างประเทศ โดยใช้ สปป.ลาว เป็นฐานผลิตใหญ่ แล้วส่วนหนึ่งก็นำเข้าไม้มาขายให้แก่บรรดาอู่เรือประมงในไทย
อาณาจักรของนายสหชัย ที่เป็นเชิดหน้าชูตาจึงคือ หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ซึ่งเป็นธุรกิจของเขาเองตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี นอกจากนี้ เขายังมีหุ้นอยู่ในบริษัทค้าไม้อีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ จ.หนองคาย จ.บึงกาฬ และ จ.สมุทรสงคราม เป็นต้น
นั่นคือธุรกิจค้าไม้ครบวงจรของ นายสหชัย ที่ถูกตั้งข้อสังเกตมาตลอดว่า เขาตั้งขึ้นเป็นฉากหน้า แต่แท้จริงแล้วอาจจะมีการค้าไม้เถื่อนในฉากหลังหรือไม่ และนั่นเองจึงเป็นที่มาที่ตัวเขาต้องเข้าไปพัวพันกับข้อหาปลอมแปลงตราประทับเข้าเมืองของทางราชการเพื่อผ่านด่านต่างๆ หลังอาณาจักรธุรกิจถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นหลายครั้ง
การที่คลุกคลีอยู่กับธุรกิจสีเทาในแวดวงแพปลา และค้าไม้ เมื่อมีคนชักชวนให้เข้าสู่วงการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติที่มีตัวเลขกำไรมหาศาล เขาจึงไม่ลังเลเพราะรู้ว่าเรือประมงทุกลำต้องใช้น้ำมัน โดยเริ่มจากการทำหน้าที่เป็นโบรกเกอร์ขายน้ำมันกลางทะเลให้แก่บรรดาเรือประมงก่อน
ต่อมา มีนายตำรวจที่ประจำอยู่ในภาคใต้ และสนิทสนมกันมาชักชวนให้ซื้อเรือขนส่งและเรือแท็งเกอร์เป็นของตนเอง เพื่อใช้สำหรับซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ และขนส่งมาขายในบริเวณน่านน้ำสากลเขตติดต่อกับน่านน้ำไทย ซึ่งนายสหชัย ก็เห็นคล้อย และนั่นเป็นจุดเริ่มของการทุ่มทุนครั้งใหญ่ เพราะเห็นเงินกำไรมากมายวางรออยู่เบื้องหน้า
จากเรือขนส่งน้ำมัน 1 ลำ จึงได้กลายเป็นกองเรือบรรทุกน้ำมันที่ใหญ่มาก โดยเวลานี้เครือข่ายของนายสหชัย มีเรือน้ำมันเถื่อนแล่นอยู่ในอ่าวไทยถึงกว่า 50 ลำ และขอบข่ายการซื้อขายน้ำมันก็ขยายไปสู่หลายประเทศในอาเซียน โดยวิ่งไปรับน้ำมันจากสิงคโปร์ และมาเลเซียเป็นหลัก บางครั้งหากราคาจูงใจก็ไปไกลถึงอินโดนีเซีย ส่วนตลาดนอกจากส่งน้ำมันเถื่อนเข้าไทยแล้ว ยังกระจายไปในหลายประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เวียดนาม และ สปป.ลาว เป็นต้น
นายสหชัย ไม่ได้หยุดความเป็นพ่อค้าน้ำมันเถื่อนไว้แค่นั้น เพราะเห็นว่าการค้าน้ำมันเถื่อนกับต่างชาติก็ต้องใช้เงินตราต่างชาติในการซื้อขายด้วย โดยเฉพาะเงินริงกิตของมาเลเซีย และเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ดังนั้น เขาจึงขยายไลน์เปิดธุรกิจรับแลกเงินตราขึ้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อให้การทำธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อนเป็นไปแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ชื่อของนายสหชัย เริ่มโด่งดังและเป็นที่รู้จักของสังคมไทยก็ด้วยเหตุการณ์ในเดือน ต.ค.2555 ซึ่งครั้งนั้นเขาถูกข้อหาค้าน้ำมันเถื่อน ฟอกเงิน ค้าไม้เถื่อน และพัวพันกับขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย พ.อ.จตุพร กลัมพะสุต หัวหน้าชุดป้องกันปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ร่วมกันเข้าตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ใน จ.ปัตตานี
แม้ว่าในการตรวจค้นครั้งแรกจะยังไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะหลักฐานสาวไปไม่ถึง จับกุมได้เพียงลูกน้องบางคนในข้อหาค้าหวยเถื่อน และแผ่นซีดีโป๊ แต่เจ้าหน้าที่ก็ได้หลักฐานเด็ดคือ “บัญชีส่วย” ซึ่งมีการจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐต่างๆ จำนวน 2 เล่ม โดยมีชื่อของเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งศุลกากร ตำรวจน้ำ ตำรวจท้องที่ หรือแม้กระทั่งตำรวจทางหลวงรวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก
จากนั้นวันที่ 22 พ.ย.2555 นายสหชัย ก็กลายเป็นคนดังกระฉ่อนเมื่อเกิดเหตุอีกครั้ง กล่าวคือ ตำรวจน้ำ กก.7 (สงขลา) นำโดย พ.ต.ท.สมชาติ ศุภวุฒิ ตรวจจับเรือโชคนำชัย 2 ได้ในน่านน้ำสากล พร้อมยึดเงินสกุลต่างๆ รวม 3 กล่อง มูลค่า 58 ล้านบาท และน้ำมันอีก 2,000 ลิตร ส่งดำเนินคดีที่ สภ.เมืองสงขลา แต่ภายหลังนายสหชัย แจ้งว่าเงินของกลางหายไป จำนวน 1 กล่อง
แล้วอีก 2 เดือนต่อมา เรือส่งเสบียงของนายสหชัย ก็ถูกปล้นกลางในอ่าวไทย จุดเกิดเหตุอยู่ในเขตน่านน้ำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยมีเงินสดสูญหายไปถึง 60 ล้านบาท และลูกเรือ 7 คนถูกฆ่าทิ้งทะเล ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่รู้กันดีว่า เป็นการขบเกลียวกันระหว่างนายสหชัย กับเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งที่มีการกล่าวหากันเรื่องเงินของกลางที่หายไป
ชื่อของนายสหชัย กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งในวันที่ 17 มิ.ย.2557 เมื่อเจ้าเก่า พ.อ.จตุพร กลัมพะสุต หัวหน้าชุดป้องกันและปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ อีกคราในข้อหาเดิมๆ แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ยึดได้ “ตราประทับ” เข้าเมืองของหลายด่านที่เจ้าหน้าที่ระบุว่า เป็นการปลอมแปลง
ในครั้งนี้เองที่นายสหชัย ต้องเข้าสู้กระบวนการยุติธรรม มีการประกันตัวสู้คดีในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ก่อนที่ศาลจังหวัดปัตตานี จะตัดสินลงโทษ 1 ปี 9 เดือน จนเป็นเหตุให้เขาต้องหลบหนีไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักในเขตเก็นติ้งไอร์แลนด์ ของมาเลเซียกว่า 2 เดือนมาแล้ว
นายสหชัย ยอมรับต่อเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ว่า เขาค้าน้ำมันเถื่อนจริง แต่เป็นการค้าน้ำมันเถื่อนในน่านน้ำสากล และส่งไปต่างประเทศ ส่วนเรื่องไม้เถื่อนทุกครั้งที่มีการจับกุมไม่เคยเอาผิดเขาได้แม้แต่ครั้งเดียว ด้านข้อกล่าวหาเรื่องพัวพันกับไฟใต้เขาให้การปฏิเสธตลอด และเคยเปิดแถลงข่าวต่อสื่อในพื้นที่ไปหลายครั้ง
ประเด็นที่นายสหชัย ถูกลากเข้าไปพัวพันกับการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น หน่วยข่าวความมั่นคงมีข้อมูลว่า เขาเคยขายน้ำมันกลางทะเล ให้แก่กลุ่มของกำนันคนหนึ่งใน จ.นราธิวาส และกลุ่มของนายก อบต.ใน จ.ปัตตานี ซึ่งคู่ค้าทั้ง 2 กลุ่มได้นำน้ำมันเถื่อนที่เขาขายให้กลางทะเลขึ้นไปขายต่อบนบก โดยบุคคลทั้ง 2 ถูกขึ้นบัญชีว่า เป็นแนวร่วมของขบวนการแบ่งแยกดินแดนอยู่ด้วย นั่นจึงกลายเป็นข้อกล่าวหาที่เขาถูกลากไปพัวพันกับขบวนการก่อไฟใต้
หลังจากนายสหชัย โดนมรสุมจากการตรวจค้น และติดตามตรวจสอบของชุดป้องกันและปราบปรามภัยแทรกซ้อนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เขาจึงเริ่มวิ่งเต้นหานักการเมืองพรรคเพื่อไทยเพื่อให้ช่วยเป็นเกราะคุ้มกัน ซึ่งก็ได้ไปบรรจบกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย คนหนึ่งใน จ.ลพบุรี แถมยังคนสนิทของ “เป็ดเหลิม” ผู้เคยมากบารมีในพรรคด้วย
และนั่นคือที่มาของภาพที่นายสหชัย ได้เข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กลายเป็นนักโทษหนีคดีเร่ร่อนบงการอยู่ต่างประเทศ อีกทั้งยังมีจดหมายร้องเรียนในเชิงออดอ้อนเพื่อขอที่หยัดยืนในการทำธุรกิจ ซึ่งปรากฏอยู่ในโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยึดได้ และถูกเผยแพร่เป็นข่าวใหญ่ไปแล้ว
จากเรื่องราวของนายสหชัย ดังกล่าว ต้องนับว่าได้ช่วยตอบคำถามที่ผู้คนจำนวนมากในสังคมเกิดความสงสัยไปได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะได้ลบล้างประเด็นที่บรรดาบิ๊กๆ สีกากีชักแถวออกมาพร่ำบ่นว่า มีแต่ตำรวจไม่ถึง 10 นาย และไม่มีระดับนายพลตำรวจที่รับส่วยน้ำมันเถื่อน
เอาแค่เฉพาะในบัญชีส่วย 2 เล่มที่เจ้าหน้าที่ยึดได้จากการตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ที่ จ.ปัตตานี ซึ่งมีการนำมาเปิดเผยแล้วเพียง 2 หน้าเท่านั้น ก็มีการระบุทั้งชื่อผู้รับ เบอร์บัญชีที่โอนให้ และหมายเลขโทรศัพท์ของบรรดาตำรวจน้ำ ตำรวจกองปราบ ตำรวจท้องที่ และตำรวจทางหลวงไว้อย่างเพียบพร้อมหลายสิบราย ไม่เพียงเท่านั้น หากสืบค้นไปหาตัวตนที่แท้จริงก็จะพบว่า หลายคนตอนนี้ครองยศเป็นถึงนายพลแล้วด้วย
หรืออย่างน้อยก็มีระดับ “พล.ต.ต.” 2 นาย ที่แนบสนิทกับนายสหชัย ซึ่งไม่ได้รับแค่ส่วยน้ำมันเถื่อนเท่านั้น ยังมีการตกรางวัลพิเศษให้ในหลายวาระ 1 ในนั้นคือ นายตำรวจผู้ที่ชักชวนให้นายสหชัย ซื้อเรือและตั้งเป็นกองเรือน้ำมันเถื่อน เวลานี้เพิ่งได้รับการโยกย้ายจาก สนง.ตร.ภ.9 ให้ไปทำหน้าที่อยู่ในสอบสวนกลาง ส่วนอีกคนแม้เกษียณแล้ว อยากเป็นนักการเมือง และไปสร้างบ้านอยู่ที่ จ.สตูล ก็ยังมีการปูนบำเหน็จให้ทั้งค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง รวมถึงไม้ใช้สร้างบ้าน และทำเฟอร์นิเจอร์
ทว่า สิ่งที่ยังเป็นเรื่องค้างคาใจของคนทั้งประเทศคือ ในบัญชีจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อนของนายสหชัย นอกจากมีชื่อของตำรวจกองปราบ ตำรวจน้ำ ตำรวจท้องที่ และตำรวจทางหลวงแล้ว ยังมีชื่อของศุลกากร และดีเอสไออยู่ในบัญชีด้วย แต่ก็มีเพียงตำรวจเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดี และถูกสังคมตราหน้าจากสังคม
ประเด็นที่ว่ามีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นๆ รับส่วยน้ำมันเถื่อนด้วยหรือไม่ คำตอบก็อยู่ในเรื่องราวและบัญชีส่วยแล้ว แต่ที่ต้องแปลกใจก็คือ หน่วยงานอย่างศุลกากร ซึ่งทั้งที่รับผิดชอบในทะเลและบนบก กับดีเอสไอ เวลานี้รัฐบาล และผู้บริหารกลับยังทำตัวเงียบเหมือนเป่าสาก
แต่ทั้งหมดทั้งปวงยังไม่มีอะไรคลางแคลงใจสังคมเท่ากับประเด็นที่ว่า ในประเทศนี้มีเพียงขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน และการจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อนของนายสหชัย เท่านั้นหรือ ซึ่งเป็นคำตอบที่ผู้คนรับรู้กันอยู่แล้ว ส่วนรัฐบาล และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถ้าไม่ตกอยู่ในภาวะส่วยน้ำมันเถื่อนปิดปาก ก็คงต้องตกเป็นภาวะน้ำท่วมปากเท่านั้นเอง
เป็นที่รับรู้กันว่า ขบวนการน้ำมันเถื่อนเครือข่ายของนายสหชัย แม้จะมีกองเรือในทะเลถึงกว่า 50 ลำ แต่ก็ยังถือว่าน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในวงการเดียวกันที่มีอยู่มากมาย แถมยังทำการค้าน้ำมันเถื่อนแต่เฉพาะกลางทะเล ไม่ได้ขนน้ำมันขึ้นไปขายบนบก ส่วนจะมีใครรับไปดำเนินการต่อเป็นเรื่องของกลุ่มทุนน้ำมันเถื่อนกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ความที่นายสหชัย ก้าวเข้าสู่วงการค้าน้ำมันเถื่อนเพียงกว่า 10 ปีมานี้ และธุรกิจมืดชนิดนี้ของเขาเข้าสู่ยุคกอบโกยจริงๆ ก็ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนของเขาจึงถูกจัดว่ามีขนาดไม่ใหญ่โตอะไร และนี่เองที่เป็นที่โจษขานถึงความอ่อนด้อยประสบการณ์ เมื่อเป็นขบวนการเล็กๆ จึงทำให้มีการทำบัญชีใช้จ่ายผสมปนเปไปกับบัญชีส่วย แถมยังลงรายการไว้แบบให้รายละเอียดครบถ้วนรอบด้าน
บนเส้นทางการค้าน้ำมันเถื่อนของนายสหชัย เติบโตไปพร้อมๆ กับเกิดปรากฏการณ์กลุ่มก๊วนการเมืองทั้งในระดับชาติ และท้องถิ่นมีการแบ่งสี แตกขั้วและแยกข้างกันอย่างชัดเจน ความเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงเครือข่ายเขาจึงเป็นที่จับตาของคู่แข่ง และยิ่งคู่แข่งทางการค้าน้ำมันเถื่อนแก๊งสำคัญแอบอิงอยู่กับการเมืองขั้วสีชัดเจนด้วยแล้ว ย่อมต้องหาทางกุดหัวไม่ให้เขามีที่ยืน หรือผลักไสให้เขาตกไปอยู่ชายขอบของสนามแข่งขัน
จึงอย่าแปลกใจที่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ จากที่เครือข่ายน้ำมันเถื่อนของนายสหชัย เคยเกื้อหนุนนักการเมืองทุกพรรค ทุกกลุ่มก๊วน และทุกสนามเลือกตั้ง เขากลับมีที่หยัดยืนในสนามการเมืองหดหายลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นต้องตัดสินใจเลือกข้างเพื่อความอยู่รอด แล้ววิ่งโร่ไปขอพึ่งบารมีระบอบทักษิณ จนปรากฏเป็นภาพ และหนังสือวิงวอนขอให้นักโทษหนีคดีผู้มากบารมีในต่างแดนให้การช่วยเหลือเมื่อช่วงสงกรานต์ที่เพิ่งผ่านมา
ทั้งนี้ ในทำเนียบผู้ค้าน้ำมันเถื่อนของทางการนั้น นอกจากเครือข่ายนายสหชัย ก็ยังมีขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่ล้วนมีกลุ่มก๊วนผู้มากอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง เช่น นักการเมืองทั้งในระดับชาติ และท้องถิ่น นักธุรกิจ ผู้นำในพื้นที่ รวมถึงบุคคลผู้มากบารมีในประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ที่มีการเปิดเผยไว้แล้วก็เช่น แก๊งนาย ส. ที่จัดว่าเป็นเครือข่ายใหญ่ และเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่น, แก๊งนาย น. นักการเมืองท้องถิ่น อ.ตากใบ จ.นราธิวาส, แก๊งนาย ม. มีฐานคือบริษัท อ./ฟ. ใน จ.ปัตตานี เคยถูกทหาร และดีเอสไอเข้าตรวจค้นด้วย, แก๊งนาย ม. เจ้าของบริษัท อ. ในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.นราธิวาส, แก๊งนายมะ เชื่อมโยงกับยาเสพติด, แก๊งนาย จ. เจ้าของกิจการเกี่ยวกับน้ำมัน มีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่, บริษัท ก. กับบริษัท ต. ตั้งอยู่ที่รัฐกลันตันของมาเลเซีย และสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งในชายแดนใต้
แต่ที่โจษขานในวงการผู้ค้าน้ำมันนั้น ต่างยกให้เครือข่ายค้าน้ำมันเถื่อนที่จัดว่าใหญ่ที่สุดคือ ขบวนการของนักการเมืองบนแผ่นดินด้ามขวาน ซึ่งประกอบขึ้นจากประมาณ 3-4 แก๊ง ส่วนใหญ่อยู่ในสังกัดพรรดยอดนิยมของคนใต้ แต่บางครั้งบางช่วงก็ต้องกระเส็นกระสายไปอาศัยพรรคตรงข้ามบ้าง แต่ทั้งหมดถือว่าอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน แล้วก็เกื้อหนุนกันอย่างชนิดแยกไม่ออกกับ “แก๊งน้ำมันปาล์มเถื่อน”
แก๊งแรกนำโดย นาย ป. เจ้าของแพปลารายใหญ่ที่จับมือกับ นาย น. เจ้าของอุตสาหกรรมประมง แก๊งนี้เน้นค้าน้ำมันในทะเลเป็นหลัก แต่ก็มีบางส่วนถูกส่งขึ้นบก แถมยังพัวพันต่อการค้าแรงงานทาสบนเรือกลางทะเลด้วย
อีกแก๊งนำโดย นาย ถ. ที่จับมือกับ นาย ว. เน้นการขนถ่ายและค้าขายน้ำมันเถื่อนบนบกเป็นหลัก ทั้ง 2 แก๊งมีฐานที่มั่นอยู่ในจังหวัดภาคใต้ตอนล่างที่มีชายแดนติดกับมาเลเซีย
ส่วนที่เหลือเป็นแก๊งที่อยู่ในใต้กลางถึงใต้บน ฐานที่มั่นหลักอยู่ที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของการหยิบยกเอาแต่เฉพาะขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนของเครือข่าย “เสี่ยโจ้” ขึ้นไปใช้ในการเล่นงาน “แก๊งเดอะกิ๊ก” แบบปั่นกระแสมาจนถึงวันนี้ แต่กลับไม่เคยแตะต้อง หรือเพียงแค่เมียงมองไปยังขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนเครือข่ายอื่นๆ โดยเฉพาะที่จัดว่าทรงอิทธิพล และมากบารมีอย่างของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนของ “แก๊งนักการเมือง”