โดย...ทีมข่าวเฉพาะกิจภูมิภาค
หลังจากมีการเปิดโปงขบวนการทำผิดกฎหมายหลายๆ มาตราของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง และพวก พร้อมทั้งมีการยึดของกลางทั้งเงินสด และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และ 1 ในประเด็นสำคัญมีการระบุว่ามีเงินที่มาจาก “ส่วยน้ำมันเถื่อน” อยู่ด้วย โดยมีชื่อของ “เสี่ยโจ้” นายทุนค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติรายใหญ่ของภาคใต้ที่มีฐานที่มั่นอยู่ที่ จ.ปัตตานี เข้ามาเกี่ยวข้อง
ยิ่งเพิ่งจะมีการประกาศตั้งค่าหัวสูงถึง 1 ล้านบาท สำหรับนายทุนผู้ค้าน้ำมันเถื่อนภาคใต้รายนี้ ในวันนี้จึงยิ่งทำให้ผู้คนในประเทศเพิ่มให้ความสนใจในตัวของ “เสี่ยโจ้” ว่าเขาคือใคร? และมีความเป็นมาอย่างไร?
“เสี่ยโจ้” เป็นชื่อที่คนทั่วไปรู้จัก และเรียกขาน เขามีชื่อสกุลจริงว่า “นายสหชัย เจียรเสริมสิน” อายุ 46 ปี เป็นคนที่มีพื้นที่เดิมๆ จาก จ.เพชรบุรี แต่กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจห้างหุ้นส่วนจำกัด สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี เป็นธุรกิจค้าไม่ต่อเรือประมงรายใหญ่ในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งไม้ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศลาว
“เสี่ยโจ้” เป็นที่รู้จักกันดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจใน อ.เมือง จ.ปัตตานี ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน จากการเป็นเจ้าของแพปลา ต่อมา ได้พัฒนาเป็นเจ้าของโต๊ะพนันฟุตบอล และหวยเถื่อน ซึ่งเป็นธุรกิจนอกกฎหมายที่ทำในช่วงแรกๆ หลังจากที่เรียนจบจากโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย ในกรุงเทพฯ
และหลังจากนั้น เขาได้รู้จักเจ้าของเรือประมงเป็นจำนวนมากที่เข้าเทียบท่า และนำเรือขึ้นคานเข้าอู่ซ่อม จนพบช่องทางในการค้าไม้เพื่อใช้กับอู่ต่อเรือ และซ่อมเรือ ซึ่งไม้ส่วนใหญ่ที่ใช้นำเข้าจากประเทศมาเลเซียไม่มีคุณภาพที่ดีพอ เขาจึงได้สั่งไม้จากบริษัทค้าไม้ที่ จ.สมุทรสงคราม มาขายให้แก่พ่อค้าไม้ใน จ.ปัตตานี
ด้วยความเป็นพ่อค้าที่กล้าได้ กล้าเสีย ต่อมา “เสี่ยโจ้” ได้รู้จักกับพ่อค้าไม้ที่กรุงเทพฯ เป็นลูกบุญธรรมของ รมว.กระทรวงกสิกรรมของ สปป.ลาว และได้ร่วมลงทุนทำธุรกิจค้าไม้ระหว่างประเทศ โดยประมูล และสัมปทานไม้คุณภาพดี เช่น ไม้ตะเคียนลาว แล้วแปรรูปตามขนาดที่อู่ต่อเรือต้องการ โดยได้ตั้งบริษัทนำเข้าที่ จ.หนองคาย และ จ.บึงกาฬ เพื่อส่งต่อมายัง จ.ปัตตานี แล้วนำส่งให้ หจก.สหทรัพย์ค้าไม้ ซึ่งเป็นของตนเองอีกทอดหนึ่ง
นี่คือธุรกิจค้าไม้ครบวงจรที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นบังหน้าเพื่อค้าไม้เถื่อนให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่?!
ต่อมา “เสี่ยโจ้” จึงเห็นช่องทางในการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกำไรอย่างมหาศาล เพราะเขารู้ว่าเรือประมงทุกลำต้องใช้น้ามัน โดยเริ่มจากเป็นโบรกเกอร์ขายน้ำมันกลางทะเลให้แก่เรือประมงก่อน และต่อมา มี “นายตำรวจ” ผู้หนึ่งชักชวนให้ซื้อเรือน้ำมันเป็นของตนเอง พร้อมทั้งซื้อน้ำมันจากเรือแท็งเกอร์ในน้ำมันสากลมาขายให้แก่เรือประมงที่ทำการประมงแบบในทะเลลึก
จากเรือขนน้ำมัน 1 ลำ จึงได้กลายเป็นกองเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่ใหญ่มาก โดยมีเรือน้ำมันแล่นอยู่ในอ่าวไทยถึงราว 50 ลำด้วยกัน และขอบข่ายการขายน้ำมันขยายไปสู่ประเทศกัมพูชา เวียดนามตอนใต้ และอินโดนีเซีย
สำหรับ “นายตำรวจ” ผู้ที่ชักชวน “เสี่ยโจ้” ให้ซื้อเรือทำธุรกิจน้ำมันเถื่อนนั้น ขณะนี้มียศเป็น “พล.ต.ต.” เพิ่งได้รับการโยกย้ายมาทำหน้าที่อยู่ในพื้นที่ สนง.ตร.ภ.9 เมื่อไม่นานนี้เอง และเป็นนายตำรวจผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่ประสานให้ “เสี่ยโจ้” ในการเคลียร์เส้นทางให้แก่ “สอบสวนกลาง”
เขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ความเป็นพ่อค้าน้ำมันเถื่อนแค่นั้น เพราะเห็นว่าการค้าน้ำมันเถื่อนกับต่างชาติไม่ว่าเป็นมาเลเซีย และสิงคโปร์ต้องใช้เงินเหรียญริงกิต และดอลลาร์สิงคโปร์ในการชำระเงิน ดังนั้น “เสี่ยโจ้” จึงเปิดร้านรับแลกเงินตราขึ้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อให้การทำธุรกิจเป็นไปแบบครบวงจร
ชื่อของ “เสี่ยโจ้” เริ่มโด่งดัง และเป็นที่รู้จักของสังคมไทยก็ด้วยเหตุการณ์ในเดือน ต.ค.2555 ซึ่งครั้งนั้น พ.อ.จตุพร กลัมพะสุต หัวหน้าชุดป้องกันปรามปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และดีเอสไอ เข้าตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ในข้อหาค้าน้ำมันเถื่อน ฟอกเงิน ค้าไม้เถื่อน และพัวพันกับขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
แม้ว่าในการตรวจค้นครั้งแรกจะยังไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะหลักฐานสาวไปไม่ถึง จับกุมได้เพียงลูกน้องบางคนในข้อหาค้าหวยเถื่อน และแผนซีดีโป๊ แต่เจ้าหน้าที่ได้หลักฐานเด็ดคือ “บัญชีส่วย” ซึ่งมีการจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ จำนวน 2 เล่ม โดยมีชื่อของเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งตำรวจทางหลวง ตำรวจท้องที่ ตำรวจน้ำ และศุลกากร เป็นจำนวนมาก
ต่อมา วันที่ 22 พ.ย.2555 “เสี่ยโจ้” ก็กลายเป็นคนดังกระฉ่อนเมื่อเกิดเหตุอีกครั้ง กล่าวคือ ตำรวจน้ำ กก.7 นำโดย พ.ต.ท.สมชาติ ศุภวุฒิ ตรวจจับเรือโชคนำชัย 2 ได้ในน่าน้ำสากล พร้อมยึดเงินสกุลต่างๆ รวมมูลค่า 58 ล้านบาท และน้ำมันอีก 2,000 ลิตร ส่งดำเนินคดีที่ สภ.เมือง สงขลา ซึ่งต่อมา “เสี่ยโจ้” แจ้งว่าเงินของกลางหายไป จำนวน 1 กล่อง
และอีก 2 เดือนหลังจากนั้น เรือส่งเสบียงของ “เสี่ยโจ้” ก็ถูกปล้นในอ่าวไทย ในเขตน่านน้ำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เงินหายไป 60 ล้านบาท และลูกเรือ 7 คน ถูกฆ่าทิ้งน้ำ ซึ่งในครั้งนั้นรู้กันดีว่าเป็นการขบเกลียวกันระหว่าง “เสี่ยโจ้” กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีการกล่าวหากันเรื่องเงินของกลางที่หายไป
ชื่อของ “เสี่ยโจ้” กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งในวันที่ 17 มิ.ย.2557 เมื่อเจ้าเก่า พ.อ.จตุพร กลัมพะสุต หัวหน้าป้องกันและปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ อีกครั้งในข้อหาเดิมๆ แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ยึดได้ “ตราประทับ” เข้าเมืองที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองใช้อยู่ในสำนักงานของเขาด้วย
ในครั้งนี้เองที่ “เสี่ยโจ้” ต้องเข้าสู้กระบวนการยุติธรรม มีการประกันตัวสู้คดีในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ก่อนที่ศาลจังหวัดปัตตานี จะตัดสินลงโทษ 1 ปี 9 เดือน จนเป็นเหตุให้เขาต้องหลบหนีจากศาลจังหวัดปัตตานี ไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักในเขตเก็นติ้งไอร์แลนด์ ประเทศมาเลเซีย
“เสี่ยโจ้” ยอมรับต่อเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ว่า ค้าน้ำมันเถื่อนจริง แต่เป็นการค้าน้ำมันเถื่อนในน่านน้ำสากล และส่งไปต่างประเทศ ส่วนเรื่องไม้เถื่อนทุกครั้งที่มีการจับกุมไม่เคยเอาผิดเขาได้แม้แต่ครั้งเดียว ด้านข้อกล่าวหาเรื่องพัวพันกับการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาให้การปฏิเสธ และเปิดแถลงข่าวต่อสื่อในพื้นที่ไปแล้วหลายครั้ง
สำหรับประเด็นที่ “เสี่ยโจ้” ถูกลากเข้าไปพัวพันกับการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น หน่วยข่าวความมั่นคงมีข้อมูลว่า เขาเคยขายน้ำมันกลางทะเลให้แก่ “กำนัน” ผู้หนึ่งใน จ.นราธิวาส และ “นายก อบต.” ผู้หนึ่งใน จ.ปัตตานี ซึ่งคนทั้ง 2 ที่เป็นคู่ค้าของเขานำน้ำมันที่ซื้อไปขายบนบก โดยบุคคลทั้ง 2 ถูกขึ้นบัญชีว่าเป็นแนวร่วมของขบวนการก่อความไม่สงบอยู่ด้วย
ดังนั้น “เสี่ยโจ้” จึงกลายเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในกลุ่มของผู้สนับสนุนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
หลังจากที่ “เสี่ยโจ้” โดนมรสุมจากการตรวจค้น และติดตามตรวจสอบของ พ.อ.จตุพร กลัมพะสุต หัวหน้าชุดภัยแทรกซ้อนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เขาจึงเริ่มวิ่งเต้นหานักการเมืองพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ช่วยเป็นเกราะคุ้มกัน และหนึ่งใน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่เขาวิ่งเข้าไปพึ่งบารมีคือ ส.ส.คนหนึ่งใน จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นนักการเมืองคนสนิทของ “สิงห์เหลิม”
และนั่นคือที่มาของภาพที่ “เสี่ยโจ้” ได้เข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังมีจดหมายร้องเรียนในเชิงออดอ้อนเพื่อขอที่หยัดยืนในการทำธุรกิจ ซึ่งปรากฏอยู่ในโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยึดได้ และถูกเผยแพร่เป็นข่าวใหญ่ไปแล้วก่อนหน้านี้
ทว่า สิ่งที่ยังเป็นเรื่องค้างคาใจของคนทั้งประเทศคือ ในบัญชีจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อนของ “เสี่ยโจ้” นอกจากมีชื่อของตำรวจแล้ว ยังมีชื่อของศุลกากร และดีเอสไออยู่ในบัญชีด้วยจำนวนหนึ่ง แต่ก็มีเพียงตำรวจเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดี และถูกสังคมตราหน้าจากสังคม
ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นๆ ในบัญชีส่วยน้ำมันเถื่อน และหน่วยงานที่คนเหล่านี้สังกัดอยู่ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องรายชื่อของแกะดำในหน่วยงานแต่อย่างใด โดยเฉพาะหน่วยงานของศุลกากรทั้งทางบก และทางทะเล โดยยังทำตัวเงียบเหมือนเป่าสาก ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่พัวพันกับส่วยน้ำมันเถื่อนมหาศาลกว่าหน่วยงานของตำรวจ ปนม. และตำรวจน้ำด้วยซ้ำ
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะต้องดำเนินการสร้างมาตรฐานของความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ถ้าบอกว่าคนทำผิด ต้องรับผิด แล้วทำไม่จึงมีการละเว้นคนทำผิดอีกส่วนหนึ่งให้ลอยนวล ทั้งที่ทำผิด ทำชั่ว และทำเลวเหมือนกัน
ตรงนี้คือ “โจทย์” ที่สำคัญมากในเรื่องบรรทัดฐานของรัฐบาล โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องนำไปคิดเป็น “การบ้าน” เพื่อนำกลับมาตอบให้แก่สังคมโดยเร็ววัน