xs
xsm
sm
md
lg

“เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 10) หลวงตาหนึ่งเดียว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย..เงาศิลป์

(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
อ่าวลึก เกาะเต่า (ภาพ : Wilawan Sookkho)
ยังอยู่ที่บ้านหลังน้อยในหุบเขา

ย่ำค่ำของวันหนึ่ง ฤดูมรสุมยังไม่ทันร่ำลา หุบเขาโหลกบ้านเก่าห่มคลุมไปด้วยควันฟืนคล้ายเมืองในหมอก ผิดแผกตรงที่มีกลิ่นอโรมากะลามะพร้าวให้สูดดม และได้ฟังเสียงนกกลางคืนครวญคราง ดัง ฮือ ฮือ

น้านั่งทำงานตรงที่เดิม บนโต๊ะที่เกะกะไปด้วยงาน และเครื่องมือ ยังมีเจ้าเหมียวน้อยนอนหลับอย่างเกียจคร้านอยู่ริมขอบโต๊ะ มันนอนตรงนั้นทั้งวัน จะมีเวลาลุกขึ้นมาบ้างในเวลากินกับถ่าย ฉันเพิ่งนึกได้มันกลายเป็นแมวเสพควันหลงกัญชาไปแล้ว

เสียงหัวพ่นไฟดังฟู่ๆ คนทำงานกำลังจดจ่อกับการหลอมเม็ดเงิน ส่วนฉันนั่งบนเบาะพิงฝาพนังอยู่ไม่ไกล พอได้อาศัยแสงไฟฟ้าดวงเดียวกันอ่านหนังสือ มีเสียงผู้ชายตะโกนเรียกที่หน้าบ้าน ฉันจึงลุกจากเบาะนั่ง วางหนังสือในมือเดินออกไปดู ปกติถ้าเป็นคนรู้จัก เขาจะเดินเข้ามาในบ้านแล้ว แต่นี่เพราะเป็นแขกที่ไม่คุ้นเคย ยิ่งน่าประหลาดใจเมื่อรู้ว่าผู้มาเยือนคือ หลวงตา กับเด็กหนุ่มอีกคนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์พามา

ฉันรู้ว่า ท่านเป็นพระสงฆ์รูปเดียวที่อยู่จำพรรษาที่นี่เกือบสิบปีพรรษามาแล้ว และเป็นที่รักของทุกคนบนเกาะ

“กราบนมัสการค่ะหลวงตา มีอะไรเหรอคะ ถึงได้มาที่นี่”

เพราะวัดอยู่ไกลไม่ใช่น้อย ท่านต้องมีอะไรที่สำคัญแน่ๆ ท่านยิ้มอย่างแจ่มใส ในท่ามกลางแสงไฟฟ้าสลัว ยังรู้สึกได้ถึงความง่ายๆ สบายๆ ของท่าน

“อยากให้โยมช่วยวาดรูปให้หน่อย วาดลงบนไม้นี่นะ จะเอาไปประดับขบวนแห่เรือ” แล้วท่านวางแผ่นไม้อัดบางเบาลงบนพื้นหน้าบ้าน น้าชาญ เดินออกมาสมทบพอดี

“วาดรูปอะไรล่ะครับหลวงตา”

“วาดรูปราหูอมจันทร์”

“คนเขาบอกมาว่า บนเกาะนี้มีคนวาดรูปเป็นอยู่คนเดียว”

ฉันหันไปมองหน้าเขา ในบ้านหลังเล็กๆ นี้ ไม่มีรูปวาดเลยสักรูป ใครนะช่างเข้าใจผิด จนทำให้หลวงตาพลอยเข้าใจผิดไปด้วย

“ผมจะพยายามนะครับหลวงตา”

ว่าแล้วก็หยิบไม้กระดานขนาดกว้าง ยาวไม่เกิน 50 เซนติเมตร มาถือไว้ หลวงตายิ้มอย่างสมใจ แล้วหันหลังกลับ

ฉันเพิ่งจะรู้ว่า วันออกพรรษาจะมีการแห่พระพุทธรูป ที่เรียกว่าชักพระ ปกติที่ตัวจังหวัดจะลากพระด้วยเรือไปตามลำคลอง แต่ที่นี่มีทะเล ก็ต้องลากไปตามชายทะเล เอาล่ะนะ ท่าทางน้าแกจะเห็นใจหลวงตา คงหาคนทำให้ไม่ได้จริงๆ จึงมาขอร้องด้วยตัวเอง

หลวงตาจากไปแล้ว ปัญหาที่ตามมาคือ ไม่มีแบบสำหรับจะวาด และสีน้ำมันที่ซุกอยู่ในลังกระดาษ มีแค่สีขาว สีแดง สีเขียว อย่างละเล็กน้อยเท่านั้น

คืนนั้นน้าชาญ เลิกทำเครื่องเงิน นอนหลับตาคิดถึงหน้าตาพระราหูอมจันทร์ แกบอกว่านึกจนแทบจะเห็นพระราหูหล่นลงมาทับอก บอกให้ฉันทำหน้าแบบพระราหูให้ดูหน่อย ใครจะบ้าทำตามได้

รุ่งเช้า น้าชาญ เริ่มทำงานทันที เขาใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ จึงจะเสร็จ เสร็จแล้วก็เอาวางไว้บนโต๊ะทำงาน ยืนเอียงคอมองอยู่สักพัก แล้วคราง อืม...ยิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง บ่นพึม

สามวันต่อมา ลูกศิษย์หลวงตา มารับรูปวาดตั้งแต่เช้าตรู่

“พี่ครับ ผมมาเอารูปครับ” น้าหอบกระดานส่งให้

“ไม่ต้องห่ออะไรแล้วล่ะ แป๊บเดียวก็ถึงวัด”

คุณคนนั้นรับรูปไป แล้วพลิกขึ้นดู พลางทำหน้าปุเลี่ยน แล้วหันมามองหน้า

“พี่ครับ พระราหูสีชมพูเหรอครับ” น้ายิ้มๆ ไม่พูดอะไร

วันงานชักพระ เราไปนั่งสังเกตการณ์บนพื้นทรายใกล้ท่าเรือ รอดูขบวนแห่ที่มีพระราหูอมจันทร์สีชมพูสดใส โดดเด่นอยู่หน้าขบวน คิดในใจว่า ไม่เลวนี่ อย่างน้อยก็ทำให้หลวงตามีความสุข

วันนั้นคนมาร่วมงานบุญน้อยกว่าที่คิด อาจเป็นปีแรกที่หลวงตาคิดจัดงานขึ้น คนยังไม่รู้ และนักท่องเที่ยวฝรั่งยังไม่มี แต่งานก็เสร็จสิ้นลงได้ด้วยดี เรือร่วมขบวนแห่ประมาณ 20 ลำ นับว่าไม่น้อย สำหรับเกาะเล็กๆ คนท้องถิ่นไม่เกินสามพันคน

ราวหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ขณะที่เรานอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนเปลคนละเปลที่หน้าบ้าน หลวงตาก้าวลงมาจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขยับผ้าจีวรให้รัดกุม ฉันรีบดีดตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วพนมมือไหว้ คิดว่าหลวงตาคงมีงานให้ช่วยทำอีกแน่เลย

แต่หลวงตากลับพูดว่า

“หลวงตาไม่ค่อยว่าง เลยไม่ได้เอาเงินค่าวาดรูปมาให้โยม คิดเท่าไหร่ล่ะ”

ฉันอึ้ง คาดไม่ถึง หันไปดูหน้าน้า ที่งงๆ อยู่เหมือนกัน

“ไม่คิดเงินหรอกครับ ผมขอทำบุญกับหลวงตา”

“งั้นก็อนุโมทนาด้วยนะโยม”

แล้วหลวงตาก็นั่งรถคันเดิมจากไป

นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นหลวงตา ไม่กี่เดือนต่อมา มีข่าวว่า หลวงตาถูกส่งไปอยู่โรงพยาบาลบ้าที่จังหวัดสุราษฎร์ฯ ในข้อหาใช้ปืนฉีดน้ำประพรมน้ำมนต์ให้ชาวบ้าน

จากนั้นเราก็ย้ายไปอยู่กระท่อมในสวนมะพร้าว ริมหาดทรายที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ทำให้ผู้คนบนเกาะงุนงงสงสัยว่าเราเป่ามนต์อะไร จึงได้รับการยอมรับจากเจ้าของพื้นที่ ซึ่งเล่าลือกันว่าเป็นคนที่ขี้โมโหที่สุดของเกาะ

แต่ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น ฉันไม่เคยเจอเรื่องทำนองนั้นเลย มีแต่สิ่งดีๆ ที่พวกเขามีให้ บุญคุณนี้ฉันไม่เคยลืม

(อ่านต่อตอนที่ 11)
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น