โดย..คนไม่เอาถ่าน
ถึง พ่อแม่พี่น้องลูกหลานชาวใต้ทุกคน
ผมไม่ได้เขียนเพื่อจะโน้มน้าวให้ทุกคนต้องเหมือนผม แต่อยากให้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดในอนาคตข้างหน้า ภาคใต้เป็นภาคที่เหมาะต่อการทำการเกษตร และประมงมากกว่านิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมไฟฟ้าถ่านหินของ กฟผ. และปิโตรเคมี ของ ปตท.หรืออุตสาหกรรมหนักอื่นๆ
อย่างแรกเลยเราไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นต้องนำเข้าทั้งสิ้น และโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านั้นก็เป็นของทุนข้ามชาติทั้งหมดด้วย โดยรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามชวนเชื่อให้คนไทยเชื่อว่าหากเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรมแล้วก็จะทำให้คนไทยอยู่ดีกินดีมีงานทำ แล้วเป็นอย่างไรครับ ตั้งแต่ยุคชาติชายมาแล้ว คนไทยอยู่ดีกินดีขึ้นมามากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่นอนก็คือ ขยะเคมีมลพิษที่เกิดจากอุตสาหกรรมโรงงานเหล่านั้นเกิดขึ้นมากมายมหาศาล กระทบถึงชีวิตทำให้ผู้คนมีความเป็นอยู่แร้นแค้นขึ้น สุขภาพก็เลวร้ายลง รายได้ก็เป็นของทุนข้ามชาติเหล่านั้นขนออกไป คนไทยได้เพียงเศษเงิน และเงินที่ได้มาก็ใช้ในเรื่องรักษาพยาบาล และสิ่งอำนวยความสะดวกหรูหราที่ไม่จำเป็นมากมายนักในการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข
ทีนี้เรามาดูกันว่าตั้งแต่อดีตบรรพบุรุษไทยใต้ทำอะไรกันเป็นหลัก สรุปหลักๆ ก็คือ เกษตร และประมง จนทุกวันนี้ และวันนี้ กฟผ. และ ปตท. กำลังจะเปลี่ยนคนใต้ และภาคใต้ให้เป็นศูนย์กลางนิคมอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศอุตสาหกรรมโลกที่ย้ายฐานมาจากอเมริกาเหนือ และยุโรปมายังที่แห่งใหม่ คือ ประเทศจีน กฟผ. และ ปตท. เล็งเห็นผลประโยชน์อันมหาศาลนี้จึงอาศัยอำนาจรัฐ และอำนาจทุนบีบบังคับให้คนใต้ยอมรับในสภาพด้วยวิธีการเดิมๆ ที่คนไทยทั่วไปชื่นชอบคือ ลดแลกแจกแถม ที่ใช้ได้ผลมาแล้วที่ภาคเหนือ ภาคกลาง สุดท้ายที่ภาคตะวันออก ซึ่งกำลังหมดสภาพไปในเร็ววันนี้
และด้วยการโกหกคนไทยจะมีรายได้ มีงานทำ สัญญาสารพัดต่อชาวบ้านที่ไม่มีข้อมูล หรือเห็นแก่ได้เฉพาะหน้าว่าเป็นโครงการสีเขียวสะอาด ไร้มลพิษ ที่จริงแล้วนรกชัดๆ เช่น ที่แม่เมาะ มาบตาพุด เป็นต้น เพื่อจะให้บรรลุจุดประสงค์ วิธีการจะชั่วช้าสามานย์เพียงไดก็ตามจะต้องทำให้ได้ จะกระทบต่อชีวิตใครก็ตาม จะทำลายธรรมชาติสาหัสเพียงไดก็ช่าง เพราะไม่ใช่ลูกหลาน หรือเผ่าพันธุ์ญาติพงศ์วงศาตัวเองที่จะได้รับผลกระทบ
พ่อแม่พี่น้องลูกหลานชาวใต้ครับ ปกติแล้วอายุของการนิคมอย่างมากก็ 50 ปี สภาพต่างๆ ของนิคมอุตสาหกรรมเหล่านั้นก็หมดสภาพไปเอง และย้ายไปแหล่งใหม่ต่อไป เช่น มาบตาพุด ซึ่งก็กำลังจะใกล้ถึงจุดเสื่อมโทรมสุดๆ แล้ว จึงต้องย้ายลงมาภาคใต้เพราะออกทะเลได้ทั้งสองฝั่ง ในการขนถ่ายทั้งน้ำมัน ถ่านหิน และปิโตรเคมี ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มกำไร (ที่ไม่ใช่เป็นของประชาชน) จากการขนส่งถ่านหินราคาถูกจากอินโดฯ
ชาวใต้คิดว่าอีก 50 ปีต่อจากนี้ผืนดินใต้จะปลูกอะไรได้อีกไหม? และทะเลจะมีอาหารไปเลี้ยงคนทั้งประเทศได้อีกหรือไม่? แล้วเราจะฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติหลังจากปนเปื้อนมลพิษจากสารเคมีที่ใช้ในการผลิตของถ่านหิน กฟผ. และ ปิโตรเคมี ของ ปตท. ได้หรือเปล่า เรามาดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับลุ่มแม่น้ำปากพนัง ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนนาข้าวไปเป็นอุตสาหกรรมเลี้ยงกุ้งกุลาดำ โดยการยุยงของทุนยักษ์กัน กี่ปีแล้วครับยังเอากลับคืนมาไม่ได้เลย ใช้เวลาทำลายเพียงไม่กี่ปีแต่ฟื้นฟูเกือบจะ 20 ปีแล้วนะครับ และนี่เพียงแค่เอาน้ำทะเลเข้ามาเท่านั้นเองยังนานขนาดนี้ แล้วสารมีพิษที่เกิดจากขั้นตอนของการผลิตปิโตรเคมี และเผาถ่านหินละครับพี่น้อง ผมและหลายๆ คนคงอยู่ไม่ถึงวันนั้นแน่ แต่ลูกหลานเหลนยังคงอยู่รับกรรมนะครับ
จึงอยากขอให้คนชาวใต้พิจารณาให้รอบคอบ อย่าเห็นแค่คำหวาน หรือของฝากจากฆาตกรเหล่านั้นกันนะครับ ด้วยความเคารพจิตวิญญาณคนไทยใต้ครับ