ตรัง - ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ เผยนโยบายแก้ปัญหาราคายางตกต่ำของรัฐบาลชุดใหม่ยังมีแนวทางไม่ชัดเจน เสนอรัฐเร่งเพิ่มมูลค่ายาง หันมาทำตลาดในประเทศแทนการส่งออก เสริมการจัดโซนนิ่งยางพาราแม้จะทำได้ยาก แต่จะแก้ปัญหาราคายางที่เกิดซ้ำซาก ค้านนโยบายแทรกแซงราคายางเพราะเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เสี่ยงการคอร์รัปชัน
วันนี้ (29 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิถี สุพิทักษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ เผยถึงนโยบายการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำของรัฐบาลชุดใหม่ว่า ขณะนี้ยังมีทิศทางไม่ชัดเจน เนื่องจากยังไม่เห็นตัวบุคคลที่จะเข้ามานั่งในตำแหน่งด้านเศรษฐกิจ เช่น รมว.คลัง รมว.พาณิชย์ รมว.เกษตรฯ ส่วนรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลนโยบายโดยรวมก็คงเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจปัญหาราคายางพารามากน้อยเพียงใด เพราะเป็นเรื่องที่ได้มีการพยายามแก้กันมาหลายรัฐบาลแล้วแต่ก็ยังไม่สัมฤทธิผล เนื่องจากปัญหาราคายางพารามีความเกี่ยวข้อง และซับซ้อนมาก จึงต้องใช้ระยะเวลานาน และความต่อเนื่องรวมทั้งดำเนินการอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ควรจะต้องรีบทำก็คือ การเพิ่มมูลค่ายางพาราด้วยการนำมาใช้ในประเทศให้มากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียว จากเดิมที่มีสัดส่วนประมาณ 10-15% เปลี่ยนเป็นไม่น้อยกว่า 20-30% ซึ่งจะส่งผลให้ราคายางพาราค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นมาเอง โดยในส่วนของผู้ประกอบการแม้จะมีผลกระทบบ้าง แต่ก็อยู่ในภาระที่ยอมรับได้ และต้องเปลี่ยนมาทำตลาดในประเทศแทนการส่งออกแทน แต่ตนไม่เห็นด้วยต่อนโยบายแทรกแซงราคายางพารา เพราะเป็นเพียงการแก้ปัญหาในระยะสั้น แต่กลับทำให้กลไกทางตลาดเสียหาย และเสี่ยงต่อการเกิดทุจริตคอร์รัปชัน หรือท้ายสุดผลประโยชน์ก็จะตกไปสู่นายทุนเพียงกลุ่มเดียว
นอกจากนั้น ยังเห็นด้วยต่อการแก้ปัญหาด้วยการจัดโซนนิ่งยางพารา เนื่องจากปัจจุบันไม่เฉพาะภาคเหนือ และภาคอีสาน ที่มีการปลูกกันเป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านด้วย จนทำให้ยางพาราอยู่ภาวะที่มีปริมาณล้นตลาด หรือมากกว่าความต้องการ แม้การจัดโซนนิ่งจะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่รัฐบาลชุดใหม่ก็ต้องพยายามดำเนินการ ไม่เช่นนั้นปัญหาราคายางพาราตกต่ำก็จะวกไปวนมาเช่นนี้ไม่รู้จบ ซึ่งในอนาคตภาคใต้ยังอาจมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก เมื่อเริ่มเปิด AEC เช่น ราคาปาล์มน้ำมันของประเทศไทยที่อาจจะสู้กับประเทศมาเลเซียไม่ได้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด