ศูนย์ข่าวภูเก็ต - แม่ทัพภาค 4 หารือผู้ว่าฯ ภูเก็ต และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ติดตามความคืบหน้าการจัดระเบียบในพื้นที่ภูเก็ตทุกๆ ด้าน ชื่นชมดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกเป็นจังหวัดนำร่อง ส่วนการจัดระเบียบหาดคืบแล้ว 90% เหลือที่อ้างมีเอกสารสิทธิ และอยู่ในชั้นศาล พร้อมช่วยเหลือผู้เดือดร้อนด้วยการจัดโซนนิ่งให้คนจนจริงๆ สามารถประกอบอาชีพบนชายหาดได้ ย้ำทุกอย่างต้องทำด้วยหลักของความเป็นธรรม และเสมอภาค
เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ (23 ส.ค.) พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วย พล.ต.นพวงศ์ สุรวิชัย รองแม่ทัพภาค 4 นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.กระจ่าง สุวรรณรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าการจัดระเบียบในพื้นที่ภูเก็ต ภายหลังประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดระเบียบต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมทัพเรือภาคที่ 3 จ.ภูเก็ต
นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การประชุมร่วมกันระหว่างแม่ทัพภาคที่ 4 ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในภูเก็ตวันนี้ เพื่อมาติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนงานของ คสช.ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ที่ได้ดำเนินการมาแล้วในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงของการปรองดองสมานฉันท์ และการดำเนินการในระยะที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงของการปฏิรูป โดยทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้กล่าวชื่นชมการทำงานด้านต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ตในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของการจัดระเบียบ การบังคับใช้กฎหมาย การทำงานด้วยการบูรณาการกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการขับเคลื่อนตามนโยบายของ คสช. การจัดระเบียบรถแท็กซี่ป้ายดำ ที่จะทำเป็นรถแท็กซี่มิเตอร์ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นี้ ผู้มีอิทธิพล การบุกรุกป่าไม้ และที่สาธารณะ เป็นต้น ซึ่งทุกอย่างดำเนินการไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนการจัดระเบียบชายหาดนั้น มีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 90% ยังเหลืออีกประมาณ 10% ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ขณะนี้ เนื่องจากติดปัญหาเอกสารสิทธิที่ดิน และบางรายอยู่ในขั้นตอนของศาล เป็นต้น ซึ่งทางหัวหน้า คสช.ก็ได้ชื่นชมการจัดระเบียบชายหาดของภูเก็ตว่าเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และให้ทางจังหวัดจัดระเบียบในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบ เป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินการเรื่องนี้ ขณะนี้ทางจังหวัดภูเก็ต ได้มอบหมายให้ทางอำเภอ เทศบาล อบต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปสำรวจความเดือดร้อน และข้อมูลเชิงลึกของแต่ละครอบครัว เพื่อที่จะหาแนวทางช่วยเหลือต่อไป แต่กลุ่มคนดังกล่าวจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยลงไปทำมาหากินบนชายหาด ด้วยการปรับเปลี่ยนในเรื่องอาชีพด้วยการเข้าไปฝึกอาชีพให้ หรือมีการย้ายสถานที่ประกอบการ เช่น นวดชายหาด ที่ทางจังหวัดได้ประสานกับสมาคมโรงแรมในการย้ายนวดตามชายหาดไปอยู่ในโรงแรม เป็นต้น ซึ่งการจัดระเบียบชายหาดนั้นมีผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดประมาณ 500 ราย ซึ่งเรื่องนี้ ทางแม่ทัพภาค 4 ได้ย้ำว่า ทุกคนสามารถประกอบอาชีพอยู่ได้ และการจัดระเบียบต่างๆ จะต้องคำนึงถึงหลักนิติรัฐ นิติธรรม ปลอดภัย เสมอภาค และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทางทหารได้เข้ามาช่วยปัดเป่าสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล สิ่งที่ไม่เป็นระเบียบให้แก่ภูเก็ต เพื่อให้ภูเก็ตมีฐานที่ดี และเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยวต่อไป”
ด้าน พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาค 4 กล่าวว่า การจัดระเบียบนั้นจะต้องคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก และให้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นของทุกคน ด้วยการดำเนินการขอคืนพื้นที่ก่อนในเบื้องต้น ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว ในส่วนของจัดระเบียบชายหาดที่มีความคืบหน้าไปแล้ว 90% หลังจากนี้ก็จะเข้าไปดูแลในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบชายหาด แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น จะต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาที่กำหนด จะไม่ยอมให้มีการเข้าไปบุกรุกชายหาดเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว การที่จะให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้ทำมาหากินนั้นจะต้องมีการดำเนินการจัดโซนนิ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการมอบหมายให้ทางจังหวัดภูเก็ต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องนี้ ร่วมกับทัพเรือภาคที่ 3 ซึ่งคนที่เราจะจัดโซนนิ่งให้จะต้องเป็นคนที่ยากจนจริงๆ เท่านั้น
สำหรับการจัดโซนนิ่งให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบชายหาดนั้น ในหาดหนึ่งๆ อาจจะมีการกำหนดโซนนิ่งสำหรับร่ม เตียง ไว้เป็นจุดๆ ให้เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ของแต่ละหาด และจะต้องไม่มีร่ม เตียง ลงไปวางบนหาดจำนวนมากๆ เหมือนที่ผ่านมา และจะต้องไม่บังคับให้นักท่องเที่ยวใช้บริการด้วย นักท่องเที่ยวมีสิทธิ และเสรีภาพในการที่จะเลือกใช้บริการร่ม เตียง หรือจะปูเสื่อนอนบนชายหาดก็ได้ เพราะในการจัดระเบียบชายหาดนั้นจะต้องมีพื้นที่ว่างสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นหลัก และผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการจัดระเบียบชายหาดแล้ว ก็จะทยอยเข้าไปจัดระเบียบในส่วนต่างๆ ต่อไป ทั้งรถเช่า แท็กซี่ ที่จะต้องไม่ให้กีดขวางการจราจร ซึ่งการดำเนินการต่างๆ นั้น จะใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นตามปกติทั่วไป ส่วนกฎอัยการศึก จะใช้เฉพาะเรื่องใหญ่ๆ เรื่องหนักๆ ที่ต้องใช้ความรวดเร็วในการดำเนินการ