คอลัมน์ : ใต้แสงหวัน
โดย...ณขจร จันทวงศ์
ไม่อยากจะไปกล่าวหาว่าใครโง่ เพราะนึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ขององค์พ่อจตุคามรามเทพนั่นแหละ ที่ดลบันดาลให้ กฟผ.หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ไว้เนื้อเชื่อใจมอบหมายให้ “จำลอง ฝั่งชลจิตร” ทำหน้าที่ “แทงหวิง” เพื่อร้อยเชือกจูงจมูกประชาชนให้ไปเข้าร่วมกับการสนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ กฟผ.มีแผนจะสร้างทั้งใน จ.ตรัง จ.กระบี่ และ จ.นครศรีธรรมราช
ยิ่งได้ย้อนกลับไปอ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆ ก็พบว่า ระหว่างเขากับองค์พ่อจตุคามรามเทพนั้น มีคอนเน็กชันอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
“ดูเหมือนกับว่าบาปจะตกอยู่กับวัตถุมงคลรุ่นนี้ (วัตถุมงคลจตุคามรามเทพรุ่นเงินไหลมา 2) แต่ที่จริงวัตถุมงคลรุ่นนี้ต่างหากที่เปิดเผยธาตุแท้ของมนุษย์ออกมา จตุคามฯ รุ่นนี้จึงเป็นวัตถุมงคลที่สุดยอดจริงๆ เพราะมันกระชากไส้ของมนุษย์ออกมากองให้เห็นเป็นขดๆ ไม่ว่าใครก็ต้านทานความแรง หรือส่วนต่างราคาของพระรุ่นนี้ไม่ได้ เอาไปตั้งไว้ที่หน่วยงานไหน คนก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มีแต่คนจ้องจะขโมย โดยที่วัตถุมงคลนั้นไม่ได้ผิด แต่ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นว่า...มึงทนต่อกูไม่ได้”
จตุคามรามเทพรุ่นเงินไหลมา 2 ที่เขากล่าวถึง สำแดงอิทธิฤทธิ์ถึงขนาดว่าฝูงชนเหยียบกันตายจากการยื้อแย่งกันเป็นเจ้าของวัตถุมงคลรุ่นนี้ ที่ว่ากันว่า มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหลักแสน ไปจนถึงหลักล้าน ในช่วงปี 2548-2549 และคงจะเป็นตัวเลข 7 หลักนี้เองที่เป็นรูปธรรมของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ซึ่งทำให้คนเมืองลิกอร์อย่าง “จำลอง ฝั่งชลจิตร” จึงหันมาบูชาวัตถุอย่างเอาจริงเอาจัง
ราวปี 2550 วัตถุมงคลจตุคามรามเทพ รุ่นเงินไหลมา และรุ่นโคตรต่างๆ ถูกทิ้งเกลื่อนตามริมคลองใจกลางเมืองนครฯ ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในช่วงขาลง หรือไม่อย่างไร ไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ในเวลานั้น “จำลอง ฝั่งชลจิตร” ก็หันไปให้ความสนใจในวัตถุมวลสารอีกประเภทที่น่าจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์สูงส่งกว่าหลายเท่าตัว นั่นคือ “ถ่านหิน” ที่ กฟผ.มีความไว้วางใจมอบหมายให้เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าพิธีปลุกเสกมวลสาร เรียกความศรัทธาจากชาวบ้าน ขั้นตอนนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
โดยเฉพาะกับวัตถุไม่เป็นมงคลอย่าง “ถ่านหิน” เจ้าพิธีจึงต้องมีความสามารถรอบรู้ เพื่อจะร่ายเวทมนตร์คาถาเอาชนะ “วิทยาศาสตร์” เรื่องพลังงานทางทดแทนที่เขามองว่า เป็นสิ่งครอบงำทำให้ชาวเมืองลิกอร์ฉลาดจนไม่เชื่อว่า “ถ่านหินสะอาด” ตามคาถาที่เขาท่องบทล่าสุด “ไฟฟ้าในกำกับของ คสช.” ซึ่งตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1154 ประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2557 หรือฉบับล่าสุดที่ผ่านมา ใจความตอนหนึ่งว่า
“ตอนโครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาศาลากลาง หรือ ‘โซลาร์ รูฟท็อป’ ทั่วประเทศ 74 จังหวัด ประกาศออกมาใหม่ๆ ราวกลางปี 2556 ผมคิดว่ากระทรวงพลังงาน กำลังสร้างความยุ่งยากแก่การบริหารจัดการของส่วนราชการต่างๆ ที่กระจุกตัวอยู่ในศาลากลาง เริ่มตั้งแต่ช่างขึ้นไปรื้อหลังคาเตรียมวางแผงโซลาร์เซลล์ และติดตั้งอุปกรณ์ส่วนควบอื่นๆ เช่น เครื่องแปลงกระแสไฟ แล้วเชื่อมเข้าโครงข่ายสายไฟของศาลากลางที่ปกติใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยกเว้น กรุงเทพมหานคร ที่ใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)…
“ช่วงเวลาที่ช่างขนอุปกรณ์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขึ้นหลังคาศาลากลาง ข้าราชการคงไม่เป็นอันทำงาน จนการงานเกิดสะดุดเสียหาย หลังติดตั้งเสร็จสรรพทุกหน่วยงานในศาลากลางเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ซึ่งบางวันมามาก บางวันมาน้อย แต่ถ้าดูแผนที่แดดที่กระทรวงพลังงานจัดทำไว้มีไม่กี่จังหวัดที่แสงแดดเพียงพอต่อการติดตั้งโซลาร์เซลล์ นั่นหมายความว่ากระทรวงพลังงาน กำลังเอาขยะราคาแพงไปทิ้งไว้บนหลังคาศาลากลาง โดยเฉพาะจังหวัดระนองที่ฝนตก 8 เดือน แดดออก 4 เดือน รับประกันว่าเลอะเทอะแน่”
เห็นไหมเขาไม่ธรรมดา พลเมืองไทยที่จะเอาใจใส่ห่วงใยการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำศาลากลางจังหวัด เห็นจะไม่มีใครเกินหน้าเกินตาเขาแล้วใน พ.ศ.นี้
จากเนื้อหาในบทความชิ้นนี้สรุปให้เข้าใจได้ดีว่า “จำลอง ฝั่งชลจิตร” ไม่ใช่นักคิดนักเขียนประเภทสายลม-แสงแดดอย่างแน่นอน เพราะเขาสังเกตเห็นมาโดยตลอดว่า โครงการพลังงานทดแทน อย่างการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม หรือพลังงานแสงอาทิตย์จะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้
ซึ่งก็จริงดังที่เขาเยาะหยัน เพราะรัฐบาลทุกยุคสมัยไม่ได้เอาใจใส่กับโครงการศึกษาการใช้พลังงานทดแทนอย่างเอาจริงเอาจังมาแต่ไหนแต่ไร โครงการพลังงานทางเลือก เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำชุมชนหลายแห่ง เช่น ที่บ้านวังลุง อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช โรงไฟฟ้าสร้างเสร็จตั้งนานแล้ว และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตามวัตถุประสงค์ แต่จนถึงขณะนี้ยังเปิดดำเนินการไม่ได้ เพราะติดขัดในเรื่องข้อกฎหมาย ปล่อยให้อุปกรณ์ และเครื่องจักรต่างๆ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท ถูกสนิมเกาะกินไปเรื่อยๆ
ขณะที่โครงการฟาร์มกังหันผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมที่เอกชนสนใจเข้ามาลงทุน และได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเรียบร้อยตั้งแต่ปีที่แล้ว ขณะนี้ยังติดขัดเรื่องข้อกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ตีความให้กังหันลม 1 ตัว เท่ากับเป็นโรงงาน 1 โรงงาน นั่นเท่ากับว่า บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนกังหันลมผลิตไฟฟ้าที่มีจำนวนมากกว่า 60 ตัว ตลอดชายฝั่งอ่าวไทยบริเวณ จ.สงขลา และ จ.นครศรีธรรมราช จะต้องขออนุญาตตั้งโรงงาน 60 โรง อันเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการพัฒนาด้านพลังงานทดแทน
ขณะที่สถานีทดลองผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมของหน่วยงานภาครัฐ ที่ระบุว่า ล้มเหลวไม่เป็นท่า กังหันลมถูกทิ้งร้าง นั่นก็มาจากสาเหตุการเลือกใช้กังหันผลิตไฟฟ้ามือสอง ใช้งานได้ไม่ทันไรก็พัง ขณะที่เอกชนระบุว่า กังหันที่จะนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมตามโครงการฟาร์มกังหันนั้นมีขนาดใหญ่กว่าที่ภาครัฐแสดงให้ชมหลายเท่า และถ้าหากทำไม่ได้จริงๆ มีหรือที่ใครจะกล้ามาลงทุน
และที่บอกว่า จ.ระนอง เป็นเมืองฝน 8 แดด 4 ไม่มีทางที่จะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้คุ้มทุนนั้น น่าจะเป็นเรื่องเลอะเทอะ เพราะคนในพื้นที่ยืนยันชัดเจนว่า ฝน 8 แดด 4 นั้นเป็นอดีตไปเสียแล้วสำหรับเมืองระนอง
ส่วนที่ยกกรณีประเทศเยอรมนี ประกาศยกเลิกการใช้งานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้ง 17 โรง หลังหลังมีการถกเถียงอย่างเร่าร้อนในสังคมเยอรมนีจนมาได้ข้อสรุปว่า การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จากกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ในญี่ปุ่น มีสารกัมมันตรังสีรั่วไหลสู่สภาพแวดล้อม หลังเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิครั้งใหญ่ เมื่อเดือนมีนาคม 2554 ที่ผ่านมา
ซึ่ง “จำลอง ฝั่งชลจิตร” บอกแก่คนเมืองลิกอร์ของเขาว่า เยอรมนียกเลิกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพื่อหันมาสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหินแทน เขาร่ายมนตร์สะกดชาวบ้าน และยังสะกิดทหารปานประหนึ่งเป็นเพื่อนเล่น แต่ คสช.จะยอมให้เลียปากหรือไม่ ต้องตามดูกันต่อไป และถ้าจะให้ดีควรจะฟังข้อมูลจาก “บ่าวคล้าย มือมิกซ์” สักนิด
มิสเตอร์ไคย์ หรือ “บ่าวคล้าย มือมิกซ์” เป็นนักดนตรี และซาวนด์เอนจิเนียร์สัญชาติเยอรมัน ที่ศิลปินเพื่อชีวิตภาคใต้ออกปากให้มาช่วยมิกซ์เสียงตกแต่งซาวนด์เพลงที่ใช้ในการรณรงค์ต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน มีศิลปินภาคใต้ และศิลปินระดับชาติเข้าร่วมโครงการนี้เป็นจำนวนมาก และเป็นงานออกปาก หรืองานขอแรงช่วยเหลือตามประสาเพื่อนที่สนใจในปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่แตกต่างกัน
“บ่าวคล้าย มือมิกซ์” เล่าให้ฟังหลังจากกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมาว่า ทั้งนักการเมือง และประชาชนประเทศเขาต่างยอมรับว่า การใช้พลังงานนิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้าที่ผ่านมาถือเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของประเทศเขา ขืนปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดหายนะไม่ต่างจากพิษภัยของสงครามโลก จึงต้องยกเลิก และจะหันมาพัฒนาด้านพลังงานทดแทน โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากสายลม และแสงแดดอย่างเต็มที่
“แต่ระหว่างที่เลิกใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และอยู่ในระหว่างพัฒนาพลังงานจากลม และแสงอาทิตย์ จึงจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อผู้ใช้ไฟฟ้า ไม่มีทางที่คนเยอรมันจะยอมรับโรงไฟฟ้าถ่านหินภายหลังจากได้ปฏิเสธโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปก่อนแล้ว พวกนายคิดถูกแล้วที่ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ถ้าเอาก็ตัวใครตัวมัน ท่องเที่ยวภาคใต้เจ๊งแน่ถ้าถ่านหินมา”
พิธีกรรมปลุกเสกมวลสารไม่เป็นมงคลอย่าง “ถ่านหิน” ของ “จำลอง ฝั่งชลจิตร” ครั้งนี้ น่าพิสูจน์ให้เห็นแจ่มแจ้งในระดับหนึ่งแล้วว่า เหตุใดรวมเรื่องสั้น “ลิกอร์..พวกเขาเปลี่ยนไป” ที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์มาแล้ว 3 ครั้ง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันสักที...