ศูนย์ข่าวภูเก็ต - รื้อร่มเตียง-สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำชายหาด “ฝันที่ดีสำหรับคนรอคอย แต่ฝันร้ายของคนประกอบอาชีพ” ฟังเสียงเพรียกร้องสะท้อนปัญหาของผู้ที่ได้รับผลกระทบ “ถูกทุบหม้อข้าว ทำลายอาชีพ จับโยนทะเล” แล้วใครจะช่วย? หลังหน่วยงานรัฐยังไม่มีความชัดเจนในการแก้ปัญหา
ฝันของคนหลายๆ คนเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม หลัง คสช.เอาจริง สั่งจังหวัด ท้องถิ่น ลุยรื้อ ร่ม-เตียง และสิ่งปลูกสร้าง ร้านค้า บนชายหาดเพื่อคืนความสุข และความสวยงาม ทำให้ภาพชายหาดต่างๆ ในภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นหาดป่าตอง กะตะ กะรน ในหาน สุรินทร์ กมลา หรือหาดอื่นๆ เริ่มหวนคืนกลับเหมือนเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วอีกครั้ง ซึ่งเป็นภาพชายหาดที่ปลอดจากร่ม เตียง ร้านค้า และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เชื่อว่าภาพเหล่านี้ตลอดชีวิตของคนบางคนยังไม่เคยเห็นอย่างแน่นอน และเป็นภาพที่หลายคนตั้งความหวังที่จะให้เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะในภูเก็ต แต่รวมไปถึงชายหาดอื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ชายหาดเหล่านี้ปลอดจากสิ่งปลูกสร้าง ร่มเตียง หรือการยึดครองชายหาดเพียงแค่คนบางกลุ่ม
การรื้อร่มเตียง สิ่งปลูกสร้างบนชายหาดต่างๆ ในภูเก็ต ถือเป็นฝันดีของคนหลายๆ คนที่กำลังรอคอย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็กำลังกลายเป็นฝันร้ายของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นนายทุนที่บุกยึดที่ชายหาดเป็นของตัวเองเพื่อประกอบอาชีพสร้างรายได้ ซึ่งคนเหล่านี้จริงๆ ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน และบางคนก็เป็นคนในพื้นที่ที่ประกอบอาชีพมาตั้งแต่เด็กๆ หรือทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ จนถึงขณะนี้ก็กว่า 20 ปีแล้ว ที่ยึดอาชีพทำร่มเตียงชายหาด เพื่อเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว รวมถึงลูกน้อง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะร่มเตียงเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่รวมไปถึงกลุ่มอาชีพอื่นๆ ด้วย เราลองมาดูในอีกมุมหนึ่งของกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากการรื้อร่มเตียง และสิ่งปลูกสร้างออกจากชายหาดว่าเขาเหล่านี้มีความรู้สึกอย่างไร และต้องการให้ทางภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาอย่างไรบาง ซึ่งเป็นการสะท้อนอีกมุมมองหนึ่งให้คนทั่วได้รับรู้
บุญศรี ร่าเริง ชาวป่าตองโดยกำเนิด และเป็นเจ้าของร่มเตียงชายหาดป่าตองบริเวณหน้าลานโลมา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่า ตนเริ่มประกอบอาชีพทำร่มเตียงชายหาดมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โดยตามมาช่วยบิดาทำงาน จนถึงขณะนี้ทำมากว่า 20 ปี มีเตียงอยู่ 40 ชุด เมื่อมีการสั่งห้ามไม่ให้นำร่มเตียงมาตั้งบริเวณชายหาดเพื่อประกอบอาชีพ ก็ทำให้ขาดรายได้ เพราะที่ผ่านมา ทำเพียงอาชีพเดียวคือ ให้บริการร่มเตียง ตอนนี้เหมือนกับถูกทุบหม้อข้าว ถูกทำลายอาชีพ แล้วพวกตนจะไปทำมาหากินอะไร ทางหน่วยงานภาครัฐก็ยังไม่มีมาตรการในการรองรับว่าจะจัดระเบียบให้พวกตนได้ทำมาหากินหรือไม่ ตอนนี้มีความรู้สึกเหมือนกับถูกจับโยนลงไปในทะเลและปล่อยให้คลื่นซัดไปเรื่อยๆ โดยไม่มีแม้แต่ขอนไม้ให้เกาะ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาคุยกับผู้ประกอบการเพื่อหาทางออก ซึ่งทุกคนเห็นด้วยต่อการจัดระเบียบแต่ก็อยากให้เห็นใจคนทำมาหากินด้วย
เช่นเดียวกับ นางปราณี แก้วไผ่ซอ กลุ่มหมอนวดบริเวณชายหาดป่าตอง บอกว่า โดยส่วนตัวเห็นด้วยต่อการจัดระเบียบชายหาด แต่อยากได้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการประกอบอาชีพว่าจะได้ทำเมื่อไหร่ ซึ่งขณะนี้จากการสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าจะให้รอถึงเมื่อไหร่ ซึ่งทุกคนต้องกินต้องใช้ แต่เมื่อไม่ได้ทำงานจะเอารายได้ที่ไหนมาใช้จ่ายภายในครอบครัว ตอนนี้พวกตนยังไม่ทราบชะตากรรมเลยจึงอยากขอความเป็นธรรมด้วย เพราะที่ผ่านมา ประกอบอาชีพกันมานาน และพร้อมที่จะทำตามกฎกติกาที่กำหนดขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยว และคนในพื้นที่สามารถอยู่ร่วมกันได้
นางสมมิตร ตามชู ผู้ประกอบการร่มเตียงชายหาดบริเวณชายหาดป่าตอง ที่สืบทอดกิจการของครอบครัวมาตั้งแต่ปี 2528 เป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปี ซึ่งเป็น 1 ในผู้ได้รับผลกระทบขอให้ดำเนินการจัดระเบียบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขอร้องให้มีการจัดสรรการใช้ประโยชน์ ให้สามารถกลับมาทำมาหากินได้อีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขใดที่กำหนดก็ยอม เพราะมันคืออาชีพ จะให้ทำอย่างอื่นคงไม่รู้จะทำอะไร
ส่วนนางสว่าง แก้วแจ่ม หมอนวดชายหาดป่าตอง กล่าวว่า เห็นด้วยที่มีการจัดระเบียบชายหาด แต่ตนเองประกอบอาชีพหมอนวดชายหาดก็ได้รับผลกระทบ อยากให้เร่งดำเนินการ และจัดสรรให้ทำประโยชน์ได้อีก เพราะตนเองมีครอบครัว ขาดรายได้ ได้รับผลกระทบ ตามที่มีข่าวว่าการดำเนินการจะเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือนนั้นยังคงรับได้ แต่ถ้าใช้เวลานานนับ 3 หรือ 6 เดือน คงไม่ไหวเพราะไม่มีรายได้ จะให้ไปทำงานอย่างอื่นก็คงไม่มีที่ไหนรับเพราะอายุมากแล้ว
ด้านนายอุกฤษ ทิพยศักดิ์ ชาวตำบลป่าตอง ซึ่งประกอบอาชีพร่มเตียงบริเวณหน้าป้อมตำรวจซอยบางลา กล่าวว่า ถ้าพูดถึงความรู้สึกตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ ซึ่งตนทำอาชีพนี้มานานตั้งแต่เรียนจบประถมศึกษาปีที่ 4 ก็ออกจากโรงเรียนมาทำอาชีพนี้เลย ทุกวันนี้ถือว่าเป็นอาชีพหลักของครอบครัว เมื่อสั่งให้รื้อร่มเตียงผ้าใบออกจากชายหาดก็เหมือนกับถูกทุบหม้อข้าวหม้อแกง ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมากินประทังชีวิต และที่สำคัญ ขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ สิ่งที่ทำได้ขณะนี้คือ ทำใจเท่านั้น และในการประกอบอาชีพที่ผ่านมา ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็เข้าอยู่ในระเบียบที่กำหนดอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องของการช่วยเหลือและดูแลนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ประสบอุบัติเหตุจมน้ำ ถ้าไม่มีกลุ่มอาชีพบริเวณชายหาด ลำพังเจ้าหน้าที่บีชการ์ดเพียงหน่วยเดียวเชื่อว่าดูแลได้ไม่ทั่วถึงแน่นอน
ขณะที่ นายมนัส เย็นจิต ประธานที่ปรึกษากลุ่มอาชีพชายหาดกะตะ-กะรน บอกกว่า ตอนนี้ยังไม่มองเห็นทางในการกลับเข้ามาประกอบอาชีพของกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบชายหาด ทั้งในส่วนของกะตะ กะรน ซึ่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้กลุ่มอาชีพเลย ซึ่งการจัดระเบียบทุกคนเห็นด้วยที่จะให้มีการจัดระเบียบ แต่จะต้องมาพูดคุยกันว่าจะให้คนที่ประกอบอาชีพเดิมไปทำอะไร ให้ทำต่อหรือไม่ ซึ่งทุกคนกำลังรอความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งในส่วนของกะรนนั้นกลุ่มอาชีพร่มเตียงได้มีการจัดระเบียบกันมาตั้งแต่ปี 2529 และทำกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการสั่งรื้อทุกสิ่งออกจากชายหาดโดยไม่มีคำตอบให้ ก็เหมือนกับหน่วยงานภาครัฐกำลังจับพวกตนลงไปลอยคออยู่ในทะเลโดยที่ไม่มีแม้แต่ขอนไม้ให้เกาะ ปล่อยไว้เพื่อรอวันตาย และจมหายไปในทะเลเท่านั้น จึงอยากให้หน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยสั่งการ หน่วยปฏิบัติลงมาพูดคุยกับชาวบ้านที่ประกอบอาชีพ ซึ่งทั้งหมดเป็นคนในพื้นที่เพื่อหาทางออกร่วมกันไม่ใช่ปล่อยไว้ให้รอวันตายแบบไม่มีความหวังอะไรเลย
เช่นเดียวกับผู้ประกอบการร่มเตียงชายหาดป่าตองอีกรายที่ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ กล่าวว่า ถ้าเป็นเรื่องของการจัดระเบียบทางผู้ประกอบการพร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะผู้ประกอบการก็เป็นคนในพื้นที่ ไม่ใช่คนมาจากที่อื่น และไม่ใช่นายทุนแต่เป็นคนที่เข้ามาประกอบอาชีพโดยการสืบทอดต่อๆ กันมา แต่การลงมาครั้งนี้เป็นการสั่งรื้อโดยที่ไม่มีคำตอบว่าจะให้ผู้ประกอบการทำอย่างไรต่อไป ทำอาชีพเดิมได้หรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการอยากทราบความชัดเจน และอยากให้มาศึกษาข้อเท็จจริงไม่ใช่เหมารวม ควรจะมาพูดคุยชี้แจงกันว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่ใช่จับผู้ประกอบการไปปล่อยเกาะแบบนี้ และตอนนี้ชาวบ้านไม่มีที่ทำมาหากิน และสิ่งที่ชาวบ้านกลัวคือ เรื่องของการเตะเนื้อเข้าปากเสือ หลังจากไล่ชาวบ้านออกจากชายหาดผลประโยชน์จะไปตกอยู่กับโรงแรม และร้านอาหารที่สร้างอยู่บริเวณชายหาดแทน
นี่คือเสียงสะท้อนเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้ประกอบการบริเวณชายหาด ซึ่งได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการขอคืนชายหาดสาธารณะให้แก่นักท่องเที่ยว และประชาชน ที่อยากสื่อไปถึงหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า “หลังจากสั่งรื้อร่มเตียง สิ่งปลูกสร้าง ออกจากชายหาด แล้วหน่วยงานเหล่านี้จะเข้าไปดำเนินการ และมีแผนในการรองรับเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร” เพราะจนถึงขณะนี้ชาวบ้านยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานราชการเลย