“พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์” กับภารกิจลับสืบสวนสอบสวน หาพยานหลักฐานจัดการต่อคนขับแท็กซี่ป้ายดำตามคิวต่างๆ ในภูเก็ต ที่ทำตัวเป็นมาเฟีย ข่มขู่ ข่มเหง กรรโชกทรัพย์ แบบถอนรากถอนโคน ตามคำสั่งของ พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ให้เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมคุมภารกิจนี้โดยเฉพาะ ยอมรับเป็นงานที่ยากแต่ต้องทำเพื่อคืนความเชื่อมั่นให้การท่องเที่ยวของภูเก็ต ยึดหลักทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนด คนแหกกฎ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แสวงหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของผู้อื่นๆ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ข่าวครึกโครมที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คงจะหนีไม่พ้นการขนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งภาค 8 ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ทหาร และ อส. เข้าปิดล้อมจับกุมคนขับแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่ภูเก็ตแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตามหมายศาลจังหวัดภูเก็ต จำนวน 111 หมาย เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2557 ที่ผ่านมา และจนถึงขณะนี้ มีการจับกุมคนขับรถแท็กซี่ป้ายดำไปได้แล้ว 96 คน เหลืออีก 12 คน ซึ่งหลายคนคงอยากจะรู้ว่าปฏิบัติการจู่โจมจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวเรื่องนี้เล็ดลอดออกมาเลย “ASTVผู้จัดการ” ขอเปิดเผยภารกิจลับกวาดล้างถอนรากถอนโคนแท็กซี่ป้ายดำภูเก็ต ผ่านทาง พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 8 ที่ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ให้เข้ามาคุมงานนี้โดยเฉพาะ
ภารกิจการกวาดล้างมาแท็กซี่ป้ายดำในภูเก็ตเริ่มขึ้นอย่างไร?
ภารกิจกวาดล้างกลุ่มคนขับแท็กซี่ป้ายดำที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เกิดจากก่อนหน้านี้ ทาง พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ว่า แท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต มีพฤติกรรมข่มขู่ ข่มเหง ทำร้ายร่างกาย เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการท่องเที่ยว และบางครั้งมีการทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สร้างความเสียหายให้แก่จังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างมาก นักท่องเที่ยวไม่มั่นใจเรื่องของความปลอดภัย ทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 จึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา ภายใต้แผนปฏิบัติการ “ชุดเฉพาะกิจปราบปรามกลุ่มแท็กซี่ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต” เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2557 ที่ผ่านมา นำโดย พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 8 และ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีมะวานิชย์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องอีก 14 นาย เข้ามาทำงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งการเข้ามาในพื้นที่ครั้งนี้ต้องใช้ทั้งงานสืบสวนหาข่าว งานรวบรวมพยานหลักฐาน คณะทำงานใช้เวลาลงพื้นที่ภูเก็ตเกือบ 4 เดือน ต้องทุ่มเททุกอย่าง เพื่อให้เพื่อได้ข้อมูล และพยานหลักฐานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการมาทำงานไม่สามารถบอกใครได้ว่ามาทำอะไร ไม่เข้าสถานีตำรวจ ทำงานเหมือนกับสัมภเวสี ที่จะไปเรื่อยๆ ไปทุกๆ ที่ ไม่มีที่สิงสถิตเพื่อให้ได้ข้อมูลมามากที่สุด
การเข้ามาทำงานมีความยากมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากที่ผ่านมา มีหน่วยหน่วยงานที่พยายามจะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้แต่ยังทำไม่ได้ และปัญหาได้หยั่งรากลึกจนยากแก่การแก้ไข?
ยอมรับว่าหลังจากได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ให้เข้ามาทำงานในชุดนี้ ก็ยังรู้สึกมึนๆ อยู่ เพราะไม่มีความรู้เรื่องแท็กซี่ป้ายดำในภูเก็ตเลย ถึงแม้ที่ผ่านมา เคยทำงานที่ภูเก็ตมาก่อนก็ตาม แต่ตอนนั้นปัญหาแท็กซี่ป้ายดำไม่เหมือนกับตอนนี้ ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย ทุกคนทำมาหากินกันตามปกติ ทำให้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่เมื่อนายสั่งก็ต้องทำ จึงตัดสินใจลงพื้นที่มาทำงาน ซึ่งทีมงานที่ได้รับมอบหมายมีเพียง 14 นายเท่านั้น มาจากตำรวจภูธรภาค 8 ทั้งหมด การทำงานก็จะมีการประชุมสรุปผลกันตลอดเวลา เริ่มแรกเลยต้องเข้ามาศึกษาข้อมูลทั้งหมดในพื้นที่ ซึ่งเข้ามาทำงานก็ไม่บอกใคร หาข้อมูลไปเรื่อยภายใต้เวลาที่จำกัด และจากการศึกษาก็มูลก็พบว่า งานนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย เพราะทราบว่าการแก้ไขปัญหาจุดนี้หลายหน่วยงานเคยเข้ามาแก้ไขปัญหาแล้ว มีการเปิดตัวกันอย่างยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายก็ทำได้ในระดับหนึ่ง ยังมีแท็กซี่ป้ายดำที่มีพฤติกรรมทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่เรื่อยๆ จึงใช้วิธีการทำงานแบบสืบสวนหาข่าวเข้าพื้นที่ เอาฝ่ายรวบรวมพยานเข้ามา ซึ่งสลับสับเปลี่ยนกันไป
การทำงานในครั้งนี้ใช้ยุทธวิธีที่แตกต่างจากการทำงานของหน่วยอื่นๆ เน้นการไปหาข้อมูลจากผู้เสียหายแทนที่จะเข้าไปหากลุ่มแท็กซี่โดยตรง แต่ก็ใช่ว่าการทำงานจะราบรื่น เพราะผู้เสียหายไม่ให้ความร่วมมือ เนื่องจากเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำได้จริง เพราะภาพที่ผ่านมา อย่างที่ทุกคนทราบลงมาแล้วไม่มีอะไรคืบหน้า ทำให้เราไม่ได้รับข้อมูล จึงนำปัญหาเหล่านี้ปรึกษากับทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และรองผู้บัญชาการ และขอคำยืนยันเรื่องของการปฏิบัติงาน ซึ่งทางผู้บัญชาการยืนยันว่าทำจริง ก็เลยเอาข้อมูลเหล่านี้ไปคุยกับผู้ประกอบการ และยืนยันว่าทางตำรวจจะดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ทำให้บริษัทนำเที่ยวต่างๆ ที่เป็นผู้เสียหายยินยอมที่จะให้ข้อมูลต่อทางตำรวจ 51 บริษัท มีพยานบุคคล จำนวน 150 ปาก
เมื่อเริ่มได้ข้อมูล ก็มองเห็นช่องทางในการสืบค้น และแฝงตัวเข้าไปทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยการลงพื้นที่เก็บข้อมูล เก็บภาพถ่าย และอื่นๆ จนสามารถรวบรวมข้อมูล และพยานหลักฐานต่างๆ มาได้จำนวนมาก และเสนอศาลจังหวัดภูเก็ตเพื่อขอออกหมายจับคนขับแท็กซี่ป้ายดำใน 3 พื้นที่ของภูเก็ต ทั้งอำเภอเมือง กะทู้ และกมลา ปัญหาแท็กซี่ป้ายดำในภูเก็ตเป็นปัญหาที่มีการปล่อยปละละเลยมานาน ทำให้การแก้ไขปัญหาทำได้ยาก แตะไม่ได้ แต่ด้วยความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มที่ ซึ่งได้ได้ทำเพื่อใครแต่เป็นการทำเพื่อคืนภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่ดีให้กลับมา และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยวที่มีต่อจังหวัดภูเก็ต
พื้นที่ที่มีปัญหาแท็กซี่ป้ายดำรุนแรงมีที่ไหนบ้างและสภาพปัญหาเป็นอย่างไร
จากการลงพื้นที่สืบค้นข้อมูล และเก็บพยานหลักฐานพบว่ามีคิวแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตประมาณ 70 คิว มีคนขับแท็กซี่ป้ายดำบางคนมีพฤติกรรมทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ทั้งข่มขู่คนขับรถของบริษัทท่องเที่ยว ข่มขู่นักท่องเที่ยว ฉุดกระชากนักท่องเที่ยว ทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว รวมทั้งเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทนำเที่ยว เพื่อให้สามารถนำรถเข้าไปรับนักท่องเที่ยว ซึ่งมีหลักฐานการโอนเงินที่ชัดเจน โดยพื้นที่หลักๆ ที่พบว่ามีพฤติกรรมรุนแรงต่อเนื่อง ประกอบด้วยพื้นที่กะรน พื้นที่กมลา และพื้นที่เชิงทะเล ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ของเจ้าหน้าที่มั่นใจว่าสามารถที่จะเอาผิดคนเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
พอใจต่อการทำงานในครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน และคิดว่าสามารถกวาดล้างแท็กซี่อิทธิพลได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่
สำหรับผลการทำงานในครั้งนี้คิดว่าพอใจในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีแท็กซี่ป้ายดำอีกมากที่ยังมีพฤติกรรมทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล แต่ที่ผ่านมา เราไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากผู้เสียหายในการให้ข้อมูล และเป็นพยานในการชี้ตัว ซึ่งที่ยอมมาให้ปากคำ 150 คน ถือว่าเป็นบุคคลที่ควรได้รับการยกย่อง อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการในครั้งนี้คิดว่าน่าจะเป็นการป้องปรามได้ส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินการก็ต้องทำต่อไป ถ้ามีข้อมูลจากผู้เสียหายเพิ่มเข้ามา และมีการรวบรวมพยานหลักฐานได้มากพอก็อาจจะมีการขอออกหมายจับเพิ่มเติมต่อไป เพราะถือว่าความผิดที่ทำก่อนหน้านี้เป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว และการดำเนินการครั้งนี้ก็เป็นการดำเนินการจับกุมตามกฎหมาย ถ้าเป็นแท็กซี่ที่ถูกต้องก็ดำเนินการไปตามปกติ แต่ส่วนที่ไม่ถูกต้องก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย และกฎกติกาสังคม จะมาอ้างว่าการเข้ามาของคนอีกกลุ่มทำให้ตัวเองขาดรายได้ และไปทำการข่มขู่ ปิดล้อม โดยไม่ยึดหลักกฎหมายไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่มีการปล่อยไว้อย่างเด็ดขาด เพราะที่ผ่านมา พฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่การท่องเที่ยวของภูเก็ตมหาศาล ซึ่งถ้าแท็กซี่ป้ายดำยังไม่เลิกพฤติกรรมในวันข้างหน้าก็อาจจะมีเจ้าหน้าที่ชุดอื่นเข้ามาจัดการก็ได้ พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะจบการสนทนาในวันนี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ก็คงจะต้องมาจับตาดูว่า การแก้ไขปัญหาแท็กซี่ป้ายดำในจังหวัดภูเก็ตจะเป็นไปในทิศทางไหน จะหยุดอยู่กับที่ หรือเดินหน้าต่อเพื่อให้ภูเก็ตปลอดจากแท็กซี่ป้ายดำ ตามคำประกาศที่ต้องการปราบปรามจับกุมแบบถอนรากถอนโคน