จู่โจมถอนรากถอนโคน “แท็กซี่ป้ายดำ” บางกลุ่มทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ข่มขู่ ข่มเหง นักท่องเที่ยว ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวภูเก็ตมานักต่อนักแล้ว ตำรวจภาค 8 ขนกำลังพลกว่า 1,000 นาย เข้าพื้นที่บุกจับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หวังล้างบางให้สิ้นซาก แบบไม่ไว้หน้าใคร แต่ปฏิบัติการดังกล่าวกลับสร้างความกังขาให้แก่สังคมภูเก็ต ว่า แท้จริงแล้วปฏิบัติการดังกล่าว ใครได้-ใครเสีย เพราะหลังจากนี้ใครคือผู้ที่จะทำหน้าที่แทนแท็กซี่ป้ายดำเหล่านั้น
ภูเก็ตเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก สร้างรายได้ให้ประเทศมหาศาลในแต่ละปี แต่ที่ผ่านมา ภูเก็ตกลับประสบสารพัดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างร้ายแรง ซึ่งหน่วยงานต่างๆ พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น บางปัญหาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว แต่บางปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ และกลายเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อคาราคาซังจนถึงทุกวันนี้ และหนึ่งในปัญหาเรื้อรังของภูเก็ตที่ยากแก้การแก้ไข คงหนีไม่พ้น “แท็กซี่ป้ายดำบางกลุ่ม” ที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ข่มขู่ ข่มเหง ปิดล้อมนักท่องเที่ยว ปิดทางเข้า-ออกโรงแรม จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลกนับครั้งไม่ถ้วน และมีการร้องเรียนกันมาอย่างต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมา ทางจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม้ รมต.ท่องเที่ยว และดีเอสไอ พยายามที่จะเข้ามาจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่ทำได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แท็กซี่ป้ายดำเหล่านั้นไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด
เมื่อปัญหาดังกล่าวยังยืดเยื้อ และไม่ได้รับการแก้ไขให้เห็นเป็นรูปธรรม รวมทั้งผู้ประกอบการท่องเที่ยว สถานทูต สถานกงสุล ยังคงร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการร้องเรียนไปยังตำรวจภูธรภาค 8 พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 จึงได้แต่งตั้งชุดเฉพาะกิจปราบปรามกลุ่มแท็กซี่ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตขึ้น ตามคำสั่งตำรวจภูธรภาค 8 ที่ 50/2557 ลงวันที่ 30 ม.ค.57 โดยได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 8 และ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีมะวานิชย์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8 เป็นหัวหอกสำคัญลงพื้นที่สืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดต่อกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ป้ายดำ ที่ทางตำรวจบอกว่าเป็นแท็กซี่ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ภูเก็ต
จนเป็นที่มาของการขอศาลจังหวัดภูเก็ต ออกหมายจับคนขับรถแท็กซี่ป้ายดำ และผู้เกี่ยวข้องถึง 111 หมายจับ 108 คน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา ปฏิบัติการจู่โจมจับกุมกวาดล้างแบบถอนรากถอนโคนแท็กซี่ป้ายดำก็เกิดขึ้น ภายใต้ยุทธการป่าล้อมเมือง ระดมกำลังตำรวจภูธรภาค 8 กำลังทหาร และกำลัง อส.กว่า 1,000 นาย เข้าจับกุมคนขับรถแท็กซี่ป้ายดำแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้ก่อนหน้านี้ จะมีข่าวเล็ดลอดออกมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะมีชื่ออยู่ในหมายจับนั้น ปฏิบัติการครั้งนั้น สามารถจับกุมแท็กซี่ป้ายดำตามหมายจับได้ 98 หมาย ผู้ต้องหา 95 คน และอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวอีก 13 คน (ณ วันที่ 6 มิ.ย.)
ปฏิบัติการดังกล่าวไม่หยุดอยู่แค่การจับกุมดำเนินคดีต่อคนขับแท็กซี่ป้ายดำที่ทำตัวเป็นมาเฟียเท่านั้น ในวันรุ่งขึ้น ตำรวจภูธรภาค 8 ยังได้ประสานไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้รื้อคิวรถแท็กซี่ป้ายดำที่ยึดที่สาธารณะตั้งคิวออกทั้งหมด หากไม่มีการดำเนินการอาจจะถูกแจ้งดำเนินคดีในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ขณะนี้ทั้งตำรวจท้องที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเข้าไปดำเนินการรื้อถอนคิวรถแท็กซี่ป้ายดำเกือบทั้งหมดในภูเก็ตแบบเต็มใจ และไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องดำเนินการ เพราะดูท่าว่าทางตำรวจจะเอาจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทั้งประสานไปสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้เข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินของแท็กซี่ป้ายดำที่ถูกจับกุมด้วย ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ประกาศเสียงดังฟังชัด ว่าจะต้องดำเนินการกวาดล้างให้สิ้นซาก พร้อมแจ้งข้อหาหนัก “ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขู่ขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ซ่องโจร”
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าชุดเฉพาะกิจฯ เปิดเผยต่อ “ASTVผู้จัดการ” ถึงภารกิจกวาดล้างกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำทำตัวเป็นมาเฟีย ว่า การเข้ามาปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ถือว่าเป็นภารกิจที่ยากมาก เพราะจากการศึกษาข้อมูลทราบว่า มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งมีการเปิดตัวกันอย่างครึกโครมแต่ก็ไม่สำเร็จ หลังได้รับคำสั่งก็เข้ามาแฝงตัวในพื้นที่พร้อมคณะทำงานแค่ 14 คน นานกว่า 3 เดือน เพื่อหาข้อมูล ซึ่งจากข้อมูลที่ได้พบว่าการแก้ไขปัญหาติดที่เรื่องของกติกาของคนในพื้นที่ต้องมีที่ทำมาหากิน แตะไม่ได้ถ้าเข้าไปแตะอาจจะเกิดจลาจลปิดถนน และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัญหาเรื้องรัง
จากข้อมูลในเบื้องต้นพบว่า มีคิวแท็กซี่ป้ายดำประมาณ 70 คิว ที่มีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพล จากจำนวนเกือบ 300 คิว จากการสอบปากคำพยานผู้เสียหายพบว่า ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจมากพอสมควร เพราะส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าทางตำรวจจะทำได้จริง เพราะที่ผ่านมา มีผู้หลักผู้ใหญ่ลงมาก็ยังแก้ไม่ได้ ทำให้มีพยานยืนยันเพียงแค่ 150 ปาก ทำให้ออกหมายจับได้เพียงแค่ 11 คิว และ 1 ชมรม ซึ่งการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้จะต้องทำต่อไปเพื่อดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวต่อไป
หลังปฏิบัติการจู่โจมกวาดล้างจับกุมกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่ภูเก็ต มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากมาย ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ว่าปฏิบัติในครั้งนี้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ตัดเนื้อร้ายบางส่วนทิ้ง เพื่อคืนภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของภูเก็ต และได้รับการยอมรับในสายตาของชาวต่างชาติ ถือว่าเป็นสิ่งที่จังหวัดภูเก็ตได้รับประโยชน์เต็มๆ แต่บางส่วนกลับมองว่า หลังจากแท็กซี่เหล่านี้ถูกจับกุม และห้ามกลับไปประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่รับจ้างในพื้นที่นั้นๆ อีก แล้วใครละจะมาทำหน้าที่นี้แทน คนไทยหรือเปล่า? คนภูเก็ตหรือเปล่า? เป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้ และเป็นคำถามเกิดขึ้นในสังคมภูเก็ตขณะนี้
เพราะหลายคนเกรงว่าปฏิบัติการในครั้งนี้ จะเป็นการหยิบชิ้นปลามันให้แก่คนบางกลุ่มแบบคาดไม่ถึงหรือไม่ เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีว่าบริษัทนำเที่ยวรายใหญ่ๆ ในภูเก็ต ที่มีทั้งรถรับส่งนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรือแม้แต่โรงแรม เป็นของใครบ้าง แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐเองก็ทราบเรื่องนี้ดี การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา จึงใช้วิธีการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ทุกคนสามารถประกอบอาชีพร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการเคารพในกฎ กติกาที่กำหนด ไม่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล และทุกคนได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน ส่วนคนที่ทำผิดก็ต้องว่ากันไปตามกฎ กติกาที่กำหนดขึ้นมา
บทสรุปของปฏิบัติการดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ประโยชน์จะตกอยู่ที่ใคร? คนภูเก็ตคงจะเห็นในไม่ช้านี้