ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ปัญหาแท็กซี่ป้ายดำ มหากาพย์ของภูเก็ต ที่หลายหน่วยงานพยายามแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายการแก้ปัญหาก็ยังไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ลองมาดู “มองต่างมุม” แก้ปัญหาแท็กซี่ป้ายดำภูเก็ต ภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกันหวัง สร้างความเชื่อมันให้นักท่องเที่ยว แท็กซี่ยุคใหม่จะต้องเชิดหน้าชูตาภูเก็ต กับ “ปรีชาวุฒิ กี่สิ้น” ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท พิโซน่า กรุ๊ป หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต หนึ่งใน 11 คน ที่เคยถูกดีเอสไอระบุว่า เป็นผู้ที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังกลุ่มรถแท็กซี่ป้ายดำ ย้ำปฏิบัติการจู่โจมจับแท็กซี่ป้ายดำมีได้มากกว่าเสีย
นายปรีชาวุฒิ กี่สิ้น ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท พิโซน่า กรุ๊ป หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นคนหนึ่งใน 11 คน ที่เคยถูกดีเอสไอระบุว่า เป็นผู้ที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังกลุ่มรถแท็กซี่ป้ายดำ เมื่อครั้งที่ ดีเอสไอ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อประมาณเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ภายหลังปฏิบัติการจู่โจมจับกุมกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่ของทางตำรวจภูธรภาค 8 ที่สนธิกำลังร่วมกับทหาร และ อส.เข้ามาดำเนินการ ว่า โดยส่วนตัวได้เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือจัดระเบียบแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะป่าตองมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว เห็นเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยพยายามที่จะแก้ไขปัญหามาโดยตลอด ซึ่งก็สามารถที่จะแก้ไปได้ในบางส่วน สำหรับการปฏิบัติการจู่โจมจับกุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ตนเห็นด้วย แต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งตนเห็นด้วยต่อการจัดการกับคนขับแท็กซี่ป้ายดำ ที่มีพฤติกรรมกรรโชกทรัพย์ ข่มขู่ และทำร้ายนักท่องเที่ยว คนเหล่านี้ต้องถูกจัดการ รวมทั้งบางคนบางกลุ่มที่ไม่เคยให้ความร่วมมือต่อเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่
สำหรับการปราบปรามแท็กซี่ป้ายดำที่ทางตำรวจเข้ามาดำเนินการในครั้งนี้ ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่เคยมีการพูดคุยกันในการจัดระเบียบแท็กซี่ป้ายดำอยู่แล้ว ว่า จะต้องมีการดำเนินการต่อแท็กซี่ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่มองว่าการปราบปรามในช่วงนี้อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ที่จะเข้ามาจัดการแบบฉับพลันเหมือนสึนามิถล่ม เนื่องจากช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงของการปรองดอง แต่การเข้ามามาจู่โจมจับกุมแท็กซี่ป้ายดำในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์มากนัก เพราะถ้าไม่เข้ามาดำเนินการในวันนี้ หลังจากนี้ก็ต้องดำเนินการแน่นอน
นายปรีชาวุฒิ ยังกล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องตอบคำถามให้แก่ชาวบ้านให้ได้ว่า เมื่อมีการจับกุมปราบปราม และรื้อคิวรถแท็กซี่แล้ว จะให้คนขับแท็กซี่เค้าไปประกอบอาชีพอะไร ภูเก็ตไม่ใช่เมืองเกษตรกรรม แต่ภูเก็ตเป็นเมืองอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตอนนี้คนขับแท็กซี่ประสบปัญหาเหมือนกันทุกแห่งคือ ไม่มีที่สำหรับประกอบอาชีพ ไม่มีที่ทำมาหากิน เมื่อมาถึงจุดนี้จะต้องหาคำตอบแก่แท็กซี่น้ำดีให้ได้ว่าจะให้คนเหล่านี้เขาทำอะไร ส่วนแท็กซี่ที่ทำผิดเมื่อเขาถูกจับก็ควรจะให้โอกาสได้ปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้กลับมาเป็นคนของภาครัฐ ซึ่งเรื่องนี้คิดว่าควรจะต้องกลับมาเริ่มต้นกันใหม่เพื่อให้การแก้ไขปัญหาประสบความสำเร็จ ซึ่งในการแก้ไขปัญหาจะต้องทำหลายวิธี ทั้งการปราบปราม การป้องกัน ป้องปราม
“เราต้องกลับมาเริ่มต้นพูดคุยสอบถามกลั่นกรอง ใครที่ประกอบอาชีพจริงๆ ใครที่เข้ามาประกอบอาชีพแบบฉาบฉวย เพราะคนที่เข้ามาประกอบอาชีพแบบฉาบฉวยจะไม่มีความรักในอาชีพนี้ จะทำอะไรก็ไม่คิด ซึ่งคนกลุ่มนี้มีเพียงส่วนน้อยแค่ 5-10% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มองว่าหลังจากใช้มาตรการในการปราบปรามแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ควรจะใช้มาตรการป้องปรามเข้ามาเสริมเพื่อคัดสรรแท็กซี่น้ำดีออกมาจากแท็กซี่ที่ทำตัวเป็นมาเฟีย หลังจากมีการคัดกรองแล้วจะต้องเข้าไปส่งเสริมอาชีพ และหางานให้ทำ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องของการหวงพื้นที่ไปได้ รวมทั้งสามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งตอนนี้ภาพของแท็กซี่ป้ายดำที่ออกไปมีการเหมารวมว่าแท็กซี่ป้ายดำทั้งหมดเป็นมาเฟีย ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ทั้งๆ ที่แท็กซี่ที่เป็นคนดี และตั้งใจทำงานมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้กลับถูกเหมารวมว่าเป็นผู้อิทธิพล เป็นมาเฟีย”
เพราะฉะนั้น หลังจากนี้จะต้องมีการกลั่นกรองเพื่อให้เหลือคนที่ตั้งใจประกอบอาชีพนี้จริงๆ ถ้าต้องการก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองโดยเริ่มจากการสอบใบขับขี่ให้ถูกต้อง เข้าสู่การอบรมเรื่องของภาษา อบรมเรื่องของการให้บริการ ส่วนเรื่องของการจัดตั้งคิว คิดว่าไม่จำเป็นเพียงแต่นำเรื่องของเทคโนโลยีมาใช้ในการติดต่อสื่อสารก็เพียงพอแล้ว การจัดระเบียบการปราบปรามรอบนี้คนที่ได้ประโยชน์จริงควรจะเป็นคนท้องถิ่น ส่วนกระแสข่าวที่มีหลายคนออกมาพูดว่าประโยชน์จะไปตกอยู่กับบริษัทใหญ่ๆ ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนหนึ่ง แต่ถ้ามีการเชื่อมการประสานงานกันดีๆ มีการไปพูดคุยกับทางโรงแรมต่างๆ เพื่อให้ช่วยกันรักษาอาชีพของคนท้องถิ่น เชื่อว่าผลประโยชน์ส่วนนี้จะต้องตกอยู่กับคนภูเก็ตแน่นอน ซึ่งการแก้ไขปัญหาเรื่องของที่ทำกิน ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมกันคิดร่วมกันทำ เพื่อให้เกิดการยอมรับรวมกัน และถือเป็นกฎระเบียบของสังคม ซึ่งถ้าทุกฝ่ายยอมรับระเบียบวินัย ทำให้คนขับรถแท็กซี่ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นหน้าตาของเมืองท่องเที่ยวภูเก็ต ก็จะมีการปรับปรุงตัวเอง ปรับปรุงบริการเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ซึ่งถ้าทำได้จะทำให้การท่องเที่ยวของภูเก็ตมีความยั่งยืนแน่นอน
นายปรีชาวุฒิ ยังได้กล่าวอีกว่า สำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้ มีทั้งคนที่เห็นด้วย และคนที่ไม่เห็นด้วย โดยส่วนตัวคิดว่าตอนนี้สิ่งที่ผู้ประกอบการแท็กซี่อยากขอจากหน่วยงานภาครัฐ และโรงแรมต่างๆ รวมทั้งในส่วนของธุรกิจนำเที่ยว คือ อยากขอความเห็นใจ และมีส่วนร่วมในการแชร์ทรัพยากรในพื้นที่ และอยากให้เห็นความสำคัญของคนพื้นที่ ขอให้เขามีสิทธิในการทำมาหากิน ส่วนกรณีที่มีการออกข้อห้ามไม่ให้คนขับแท็กซี่ที่ถูกจับกุมกลับไปขับรถในพื้นที่อีก โดยส่วนตัวมองว่า ถ้าไม่ให้เขาทำอาชีพที่เขามาทำมาตลอดแล้วจะให้คนเหล่านี้ไปทำอะไร ซึ่งเหมือนกับชาวประมงถ้าถูกจับกุมแล้วห้ามเขากลับไปทำประมงแล้วจะให้ชาวประมงไปทำอะไรเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว จึงอยากให้ภาครัฐเปลี่ยนมุมมอง และให้โอกาสคนเหล่านี้ด้วย ถ้ายังมองว่าแท็กซี่เป็นมาเฟีย ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ควรที่จะให้โอกาสเพื่อให้แท็กซี่ได้มีโอกาสปรับตัว ถ้าหากไม่มีการปรับตัวก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ซึ่งเหมือนกับนักกีฬาถ้าทำผิดกติกากรรมการก็จะแจกใบเหลืองก่อนถึงจะแจกใบแดง
ส่วนการเข้ามาปราบปรามแท็กซี่ป้ายดำจะทำให้ปัญหาหมดไปหรือไม่ นายปรีชาวุฒิ กล่าวว่า จะให้ปัญหาหมดไป 100% เลยคงเป็นไปไม่ได้ แต่ปัญหาอาจจะลดลงไปส่วนหนึ่ง การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะต้องใช้ยุทธการป่าล้อมเมืองแต่จะต้องค่อยๆ ทำไป และดึงมวลชนเข้ามาให้มีส่วนร่วม และยอมรับในเรื่องของการแก้ปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม การเข้ามาปฏิบัติการในครั้งนี้ของทางตำรวจก็ไม่เสียเปล่า และมีประโยชน์เกิดขึ้นอย่างแน่นอนถ้าการกระทำทั้งหมดเป็นการทำเพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่ประเทศ ถือว่าเป็นการกระทำที่มีผลคุ้มค่า แม้ว่าจะมีคนที่ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ผลที่ภูเก็ต และประเทศไทยได้รับคือ การเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวกลับมา ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ได้มากกว่าเสีย
“หลังจากนี้เป็นหน้าที่หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ที่จะต้องมารับศึกหนักในการเข้ามากำกับดูแลไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก โดยการใช้มาตรการป้องปราม แต่ก็อาจจะยากขึ้นเพราะความไว้วางใจที่เคยร่วมทำงานกันมาอาจจะลดลงแล้ว ก็คงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการที่จะต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ในการจัดระเบียบแท็กซี่เพื่อให้แท็กซี่รุ่นใหม่เป็นอาชีพที่ช่วยเชิดหน้าชูตาการท่องเที่ยวของภูเก็ต ซึ่งที่ผ่านมา มีแท็กซี่น้ำดีที่ทำดีจำนวนมากแต่คนมองไม่ค่อยเห็น ในขณะที่แท็กซี่ที่ทำไม่ดีเพียงแค่ส่วนน้อยแต่การนำเสนอออกมาจำนวนมากทำให้คนมองว่าถ้าประกอบอาชีพแท็กซี่ป้ายดำจะต้องเป็นมาเฟียทั้งหมด ซึ่งคนเหล่านี้บางส่วนก็รับไม่ได้กับเรื่องนี้”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาแท็กซี่ป้ายดำในภูเก็ตจะเป็น “มหากาพย์” ต่อไปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของหน่วยงานราชการทุกภาคส่วน ร่วมทั้งภาคเอกชนของจังหวัดภูเก็ตแล้วว่าจะเข้ามาร่วมมือกันแก้ไขปัญหา และเอาจริงเอาจังมากน้อยแค่ไหน หลังจากการปฏิบัติการจู่โจมจับกุมแท็กซี่ป้ายดำไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้หลายคนยังคงจับตาดูว่าว่าการแก้ไขปัญหาแท็กซี่ป้ายดำในภูเก็ตจะจบลงได้เมื่อไหร่