ชุมพร - อากาศผันผวนร้อนจัดต่อเนื่องเจอฝนตกฉับพลัน ทำให้ผลทุเรียนอ่อน และกาแฟเป็นดอกสีดำ ร่วงหมดต้น เกษตรกรในพื้นที่ตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพรเดือดร้อนหนัก เสียหายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท
นายจำนง ละครพล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) รับร่อ หมู่ที่ 21 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และร้อนจัดเป็นเวลานานติดต่อกันหลายเดือน ขณะที่ผลไม้ และพืชผลทางการเกษตรกำลังผลิดอกออกผล โดยเฉพาะสวนทุเรียน และ สวนกาแฟ ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดฝนฤดูแล้งตกลงมาแบบฉับพลัน ทำให้ผลอ่อนของทุเรียนที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ ไข่เป็ด ได้หลุดร่วงลงมากองอยู่บนพื้นดินจำนวนมาก ทำให้ชาวสวนทุเรียนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะนี้เหลือผลทุเรียนที่ติดต้นอยู่ไม่ถึง 30% และยังมีแนวโน้มว่ายังจะร่วงเพิ่มอีกเนื่องจากสภาวะอากาศที่ผันผวนที่ร้อนจัด แล้วฝนเกิดตกฉับพลัน นอกจากนี้ ยังมีสวนกาแฟที่กำลังผลิดอกเพื่ออกผลกาแฟ ก็เจอสภาพเช่นเดียวกับสวนทุเรียน เมื่อเจออากาศที่ผันผวนฉับพลัน จากอากาศที่ร้อนจัด แล้วเกิดฝนตก ทำให้ดอกกลายเป็นสีดำร่วงเกือบหมดต้นด้วยเช่นกัน หากคิดเป็นมูลค่าความเสียหายคงไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท
นายจำนง เปิดเผยต่อว่า ตำบลรับรอ เป็นตำบลขนาดใหญ่ อยู่ติดชายแดนไทย-พม่า มีพื้นที่ทางการเกษตรทั้งตำบลมากถึง 200,000 ไร่ จำนวน 60% เป็นเกษตรกรทำสวนกาแฟ และสวนทุเรียน แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิเพราะอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนที่ชาวบ้านได้อยู่อาศัยทำกินมานานกว่า 30-40 ปีแล้ว จนกลายเป็นแหล่งพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัด ในแต่ละปีจะมีเงินสะพัดจากการขายกาแฟ และการขายทุเรียนนับ 100 ล้านบาท จากสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ถือว่ามีความรุนแรงมากที่สุด จากสภาพอากาศที่ร้อนจัด และไม่มีฝนไม่ตกเป็นเวลานานส่งผลให้เกิดสร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวสวนทุเรียนและชาวสวนกาแฟ ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของ จ.ชุมพร ที่มีพื้นที่ปลูกกันมากที่สุดของภาคใต้ ซึ่งในแต่ละปีจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดหลายหมื่นตัน
ด้านนายสุวรรณ อินทร์ตา อายุ 40 ปี เกษตรกรชาวสวนกาแฟ อยู่บ้านเลขที่ 380/1 ม.21 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร กล่าวว่า ตนมีพื้นที่ปลูกกาแฟ 50 ไร่ ขณะนี้ยืนต้นตายมากกว่า 30 ไร่ อีก 20 ไร่ ที่เหลือก็ให้ผลผลิตน้อยกว่าเดิม และยังถูกฝนที่ตกลงมาฉับพลัน ทำให้ดอกร่วงไปอีกจำนวนมาก ตนและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักเนื่องจากกว่าจะฟื้นฟูสวนกาแฟได้ต้องใช้เวลานานเกือบ 3 ปี กว่าจะให้ผลผลิตเท่าเดิม ขณะนี้ตนกังวลใจกับสภาวะหนี้สินที่มีกับสถาบันการเงิน เนื่องจากผลผลิตของกาแฟเหลือไม่ถึง 30% แต่ที่ผ่านมาตนได้กู้เงินมาวางระบบน้ำหลายแสนบาท และไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ไขอย่างไร