xs
xsm
sm
md
lg

นักข่าวภูเก็ตหวานขึ้นศาล หลังถูกทัพเรือฟ้องหมิ่นประมาท ศาลให้ประกันตัวสู้คดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวภูเก็ต - 2 นักข่าวสำนักข่าวออนไลน์ “ภูเก็ตหวาน” ขึ้นศาลภูเก็ต ตามที่อัยการนัดส่งฟ้องคดีหมิ่นประมาทกองทัพเรือ และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ศาลให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์คนละ 1 แสนบาท

เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (17 เม.ย.) นายอลัน มอริสัน และ น.ส.ชุติมา สีดาเสถียร นักข่าวจากสำนักข่าวออนไลน์ “ภูเก็ตหวาน” เข้าพบอัยการจังหวัดภูเก็ตตามนัดหมายของศาลจังหวัดภูเก็ต เพื่อนำตัวส่งฟ้องต่อศาล ในคดีที่กองทัพเรือ ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
 
คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 สำนักข่าวภูเก็ตหวานเผยแพร่ “รายงานพิเศษเรื่อง : ทหารไทยได้รับผลประโยชน์จากการค้ามนุษย์ผู้อพยพทางเรือ” ซึ่งอ้างอิงแหล่งข้อมูลมาจากสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานชิ้นนี้มีการกล่าวพาดพิงว่าเจ้าหน้าที่กองทัพเรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2556 กองทัพเรือ จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรวิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ให้ดำเนินคดีทั้งสองคนฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 (1)
 
โดย น.ส.ชุติมา ยืนยันพร้อมจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ โดยต้องการให้คดีนี้เป็นกรณีศึกษาการละเมิดเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน โดยใช้การดำเนินคดี พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายนี้ประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อผู้ที่โจรกรรมข้อมูลในคอมพิวเตอร์ หรือการเจาะระบบ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาทั้งสองไม่ต้องการใช้หลักทรัพย์ของตัวเองเพื่อยื่นขอประกันตัว และยินยอมที่จะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจนกว่าการพิจารณาคดีจะเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยขอให้กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพเป็นผู้ประกันตัว และประสานขอความช่วยเหลือจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล โดยศูนย์กฎหมายและสิทธิชุมชนพื้นที่อันดามัน เสนอให้ใช้พันธบัตรซึ่งเป็นหลักทรัพย์ของมูลนิธิสำหรับยื่นประกันตัว

ก่อนหน้านี้ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายองค์กร เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อเสรีภาพการแสดงออกในประเทศไทย และเรียกร้องให้มีการถอนฟ้องคดีนี้
 
ล่าสุด ในเวลา 11.30 น. หลังเข้าห้องพิจารณาคดี ศาลได้สั่งฟ้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14(1) โดยศาลได้อนุญาตให้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวคนละ 1 แสนบาท โดยมูลนิธิอันดามัน ได้เข้าช่วยเหลือด้วยการใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ

จากนั้นในเวลา 15.30 น. นายอลัน มอริสัน และ น.ส.ชุติมา สีดาเสถียร นักข่าวจากสำนักข่าวออนไลน์ “ภูเก็ตหวาน” ได้เดินทางออกจากศาลจังหวัดภูเก็ต ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยใช้หลักทรัพย์ประกันตัวรายละ 1 แสนบาท รวมเป็นเงิน จำนวน 2 แสนบาท และศูนย์กฎหมายและสิทธิชุมชนพื้นที่อันดามัน หรือมูลนิธิอันดามัน ได้เข้าช่วยเหลือด้วยการใช้สลากออมสินมูลค่า 2 แสนบาท เป็นหลักทรัพย์ในการประกันตัว

โดย น.ส.ชุติมา สีดาเสถียร กล่าวว่า หลังจากที่ถูกกักอยู่ที่ห้องกักของศาลฯ เป็นเวลา 5 ชั่วโมงกว่า หลังได้รับปล่อยตัวก็รู้สึกดีใจ แต่อย่างไรก็ต้องยืนยันว่าจะต่อสู้คดีต่อ จากนี้ไปก็จะเตรียมเอกสารเพื่อเตรียมเอกสารเพื่อขึ้นศาลในวันที่ 26 พ.ค. ตามที่ศาลนัดพร้อม แต่เร็วๆ นี้ก็จะมีการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และวัตถุประสงค์ของการใช้ เนื่องจากเห็นว่าเป็น พ.ร.บ.ที่ยังไม่มีความสมบูรณ์

ขณะที่ นายพนม บุตะเขียว ทนายความจากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ตอนนี้ศาลได้มีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวทั้งสองคน โดยมีข้อยกเว้นว่า นายอลัน มอริสัน ศาลได้มีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ โดยจะยึดหนังสือเดินทางไว้ ส่วน น.ส.ชุติมา สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ โดยศาลได้นัดพร้อมทั้งฝ่ายโจทย์ และจำเลยเพื่อมาดูว่ามีเอกสารหลักฐานใดบ้าง ก่อนจะมีการนัดสืบพยานฝ่ายโจทย์ และจำเลย ขณะนี้จำเลยทั้งสองได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จึงต้องมีการแต่งตั้งทนายความเพื่อต่อสู้คดีต่อไป

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ศาลฯ ได้รับฟ้องหมิ่นประมาทจำเลยทั้ง 2 ความผิด ในมาตรา 83 มาตรา 326 มาตรา 328 มาตรา 332 ตามประมวลกฎหมายอาญา และนอกจากนี้ ยังมีความผิดตามมาตรา 3 และมาตรา 14(1) ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์



 
 

อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง อดีตโปรแกรมเมอร์คดีหมิ่นเบื้องสูง
อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง อดีตโปรแกรมเมอร์คดีหมิ่นเบื้องสูง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องอดีตโปรแกรมเมอร์ คดีโพสต์ข้อความหมิ่นหมิ่นเบื้องสูง ระบุหลักฐานยังไม่ชัดเจน จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.4857/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรศักดิ์ หรือสุรภักดิ์ ภูไชยแสง หรือภูไชยแสน หรือภูไชแสง อายุ 43 ปี โปรแกรมเมอร์อิสระ ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตามประมวลกฎหมายกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14, 17 อัยการโจทก์ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2554 ระบุความผิดว่า จำเลยเป็นเจ้าของอีเมล “dorkao@hotmail.com และ Facebook ชื่อ “เราจะครองแผ่นดินโดยทำรัฐประหาร” โดยเมื่อวันที่ 4-16 พ.ค. 2554 จำเลยได้เขียนข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น ใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตเหตุเกิดที่แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี, แขวงและเขตวังทองหลาง กทม.,ทั่วราชอาณาจักรไทยเกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเนื่องจากเห็นว่า การวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อมูลคอมพิวเตอร์จะต้องพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของวิธีการที่ใช้สร้าง การเก็บรักษา ความครบถ้วน ที่ต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความหรือวิธีการที่ใช้ในการแสดงตัวผู้ส่งข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บรักษาพยานหลักฐานทางคอมพิวเตอร์ที่ต้องพยายามเก็บรักษาข้อมูลต้นฉบับไว้เพราะการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละครั้ง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ข้อมูลอาจถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ซึ่งปรากฏว่าหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวและยึดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของจำเลยแล้ว กลับมีผู้เปิดใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของกลางในวันที่ 2 ก.ย. 2554 และวันที่ 7 ก.ย. 2554 ซึ่งเป็นวันก่อนที่คอมพิวเตอร์จะถูกส่งไปทำการตรวจพิสูจน์อาจเป็นช่องทางให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ง่าย จึงทำให้ข้อมูลที่ได้จากการตรวจพิสูจน์คอมพิวเตอร์ของกลางมีข้อบกพร่องกระทบต่อความน่าเชื่อถือ จึงยังไม่อาจรับฟังได้แน่ชัดว่า ข้อมูลการใช้อีเมล dorkao@hotmail.com และ Facebook ชื่อ “เราจะครองแผ่นดินโดยทำรัฐประหาร” เกิดขึ้นจากการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของจำเลย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังมีความสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรค 2 พิพากษายกฟ้อง ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีหมิ่นเบื้องสูง ศาลจะต้องใช้ดุลยพินิจอย่างละเอียดรอบคอบเนื่องจากเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนไทย อีกทั้งการลงโทษจำเลยในคดีอาญาจะต้องมีพยานหลักฐานแน่นหนาชัดเจน ซึ่งจากการสืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยปรากฏว่าภายหลังจำเลยถูกจับกุมและถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำแล้ว กลับมีผู้เปิดใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ที่อาจทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์เปลี่ยนแปลงไปได้ ประกอบกับพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนยี (ปอท.) ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยมีพฤติการณ์ในการกระทำผิดตามฟ้องอย่างไรบ้าง โดยอ้างเพียงข้อมูลจากสายลับในชั้นสืบสวนและจับกุมจำเลย แต่ก็ไม่ได้นำสายลับดังกล่าวมาเบิกความต่อศาล ซึ่งจำเลยเองมีสิทธิที่จะโต้แย้งซักค้านพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ จึงเห็นว่าอาจเป็นการปรักปรำจำเลย แม้จำเลยจะมีความคิดและทัศนคติแตกต่างจากคนทั่วไปหรือกลุ่มการเมืองอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดข้อหาหมิ่นเบื้องสูง พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอ ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนและให้คืนของกลาง ภายหลังนายสุรศักดิ์ หรือสุรภักดิ์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ศาลอุทธรณ์เมตตาพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากตนถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนาน 14 เดือน และไม่สามารถประกันตัวได้จนกระทั่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจึงได้รับอิสรภาพ และหลังจากนี้จะกลับไปทำงานด้านคอมพิวเตอร์ตามเดิม และคงจะไม่ฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ คาดว่าอัยการโจทก์จะไม่ยื่นฎีกาเช่นกัน คดีน่าจะถึงที่สุดแล้ว ทั้งนี้อยากให้คดีของตนเป็นบรรทัดฐานในการจับกุมดำเนินคดีผู้ต้องหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งควรจะมีพยานหลักฐานให้ชัดเจนกว่านี้ ก่อนจะทำการจับกุมผู้ต้องหา และเห็นฝ่ายนิติบัญญัติควรจะมีการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น