ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้ว่าฯ ภูเก็ต สั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมแก้ไขปัญหากรณีผู้ประกอบการ และครูสอนดำน้ำร้องสมาคมฯ ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม และเรียกเก็บรายเดือน ภายในสัปดาห์นี้ พร้อมให้ ตร.ทำหนังสือชี้แจงมายังจังหวัดภายใน 2 วัน ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำชี้ช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการเรียกเก็บผลประโยชน์เกิดจากผู้ถือกฎหมาย 2 ฝ่าย ถือคนละฉบับ ซึ่งมีขอบเขตไม่สอดคล้องกัน
นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยถึงกรณีที่ครูสอนดำน้ำชาวต่างชาติรวมตัวร้องเรียนต่อสมาคมดำน้ำ ที ดี เอ ว่า ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม และมีการเสนอให้เงินรายเดือน เพื่อแลกกับการไม่เข้าไปกวดขันจับกุมนั้น ขณะนี้ได้มอบหมายให้ น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยว สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสาขาภูเก็ต รวมถึงสมาคมดำน้ำ ที ดี เอ ได้ประชุมร่วมปรึกษาหาหรือ และหาจุดอ่อนในการที่ชาวต่างชาติเข้ามาทำงาน และทำงานอื่นๆ ที่นอกเหนือจากภารกิจการสอนดำน้ำ โดยการหลังประชุมจะมีข้อสรุปว่าจะแก้ไขอย่างไร ถ้าเกิดจากความเข้าใจผิดก็จะต้องชี้แจงกัน เพราะบางครั้งพบว่ามีชาวต่างชาติมีการทำภารกิจอื่นที่นอกเหนือจากที่ระบุในใบอนุญาตทำงาน ฉะนั้น ภารกิจที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการขอวีซ่า หรือใบอนุญาตทำงานจะต้องมีการตรวจสอบให้ถูกต้อง โดยจะต้องรอข้อสรุปจากคณะทำงานที่จะประชุมในสัปดาห์นี้อีกครั้งหนึ่ง ส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกอ้างถึงว่ามีการเรียกรับเงินรายเดือนนั้น ขณะนี้ทางจังหวัดได้ขอให้ทำหนังสือชี้แจงมายังจังหวัดภายใน 2 วัน
ทางด้านผู้ประกอบการรายหนึ่งเปิดเผยแก่ผู้สื่อข่าวว่า ผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำส่วนใหญ่ล้วนดำเนินกิจการถูกต้องตามกฎหมาย มีการจดทะเบียนสถานประกอบการ และทำสัญญาชัดเจนทั้งตัวบริษัท และตัวบุคคล ยอมรับว่ามีการจ้างครูสอนดำน้ำต่างชาติที่เป็นฟรีแลนซ์ แต่ก็มีการทำสัญญาระหว่างบริษัทผู้จ้าง และต้นสังกัดครูสอนดำน้ำถูกต้องตามขั้นตอน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นพบว่า “ระหว่างขอบเขตหน้าที่ของครูสอนดำน้ำต่างชาติที่ระบุในใบอนุญาตทำงาน ซึ่งออกโดยสำนักงานจัดหางาน ไม่สอดคล้องกับข้อกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ ทำให้เกิดช่องว่างให้เจ้าหน้าที่ หรือบุคคลบางกลุ่มเข้ามาหาประโยชน์ได้ง่าย ขณะที่ครูสอนดำน้ำเองส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจว่าขอบเขตที่ระบุมีแค่ไหนกันแน่ เพราะเมื่อพิจารณาจากใบอนุญาตทำงานพบว่ายังอยู่ในขอบเขตที่สามารถทำได้ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมอ้างว่าทำผิดกฎหมาย จึงต้องการขอให้มีการหารือกันระหว่างผู้ถือกฎหมาย เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน”
นอกจากนี้ ข้อความที่ระบุขอบเขตลักษณะงานในใบอนุญาตทำงานซึ่งทางสำนักจัดหางานออกให้นั้นมีข้อความที่ระบุเป็นภาษาไทย ทำให้ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้าใจด้วยตัวเอง แต่เข้าใจจากการที่คนอื่นแปลให้ จึงอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน ดั้งนั้น จึงควรระบุข้อความเป็นภาษาอังกฤษด้วยจึงจะเป็นการเน้นย้ำให้ชาวต่างชาติที่ขอออกใบอนุญาตตระหนักถึงขอบเขตหน้าที่ และเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่นอกเหนือขอบเขต