คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ถ้ายังจำกันได้เมื่อปลายเดือน ธ.ค.2556 ที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์หนึ่งที่ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ของภาคใต้ นั่นคือ “คาร์บอมบ์” ที่หน้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในเมืองท่องเที่ยว ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา และ “มอเตอร์ไซค์บอมบ์” ที่หน้า สภ.สะเดา และที่หน้า สภ.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา
จากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ และทหาร กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รวมทั้งฝ่ายปกครอง ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานมีการสรุปที่เหมือนกันว่า สาเหตุของทั้งคาร์บอมบ์ และ จยย.บอมบ์ 3 จุด ในวันและเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องของการขัดผลประโยชน์ในธุรกิจ “น้ำมันเถื่อน”
แต่หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง พนักงานสอบสวน สภ.สะเดา เจ้าของพื้นที่ทำได้แค่ออกหมายจับ 2 ผู้ต้องสงสัยที่มีถิ่นที่อยู่ใน จ.ปัตตานี และถูกระบุว่าเป็น “แนวร่วม” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในชายแดนใต้ หรือ “อาร์เคเค” อันเป็นชุดคอมมานโดของขบวนการ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสังหาร 4 คนไทยพุทธที่ไปหาปูเปรี้ยวที่ ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เนื่องจากรถยนต์ที่ใช้ประกอบคาร์บอมบ์เป็นรถยนต์ของคนไทยพุทธกลุ่มนั้น
นี่คือ “มหันตภัย” ของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเขตติดต่อกับมาเลเซียคือ จ.สตูล จ.สงขลา และ จ.ยะลา อันเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันเถื่อนจากสิงคโปร์ และมาเลเซียเข้าสู่ไทยทั้งทางบก และทางทะเล
วันนี้ขบวนการน้ำมันเถื่อนยิ่งใหญ่ และมีพลังเทียบเท่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปแล้ว เพราะสามารถ “ว่าจ้าง” หรือ “ขอช่วย” ให้อาร์เคเคทำการก่อวินาศกรรมในย่านเศรษฐกิจ และเป็นพื้นที่ไข่แดงของหน่วยงานความมั่นคงไทยได้ เพียงเพราะไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมทำตามในสิ่งที่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนต้องการ นั่นคือ “ไฟเขียว” ให้ขบวนการขนน้ำมันเถื่อนออกจากมาเลเซียเข้าสู่ไทย
สิ่งที่น่าสังเกตคือ หลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่เมืองท่องเที่ยวชายแดน อ.สะเดา ดังกล่าว ทั้งตำรวจและทหาร หรือ กอ.รมน.ภาค 4ส่วนหน้า ซึ่งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลเรื่องของน้ำมันเถื่อน และยาเสพติดที่เป็นภัยแทรกซ้อนของสถานการณ์ไฟใต้ ต่างนิ่งเงียบไม่มีการขยายผลจับกุม “ผู้สั่งการ” ซึ่งเป็น “กลุ่มทุน” ในพื้นที่ จ.สงขลา และ จ. ปัตตานีแต่อย่างใด
แต่กลับยอมที่จะให้มีการขนน้ำมันเถื่อนจากมาเลเซียเข้าไทยทั้งทางด้าน อ.สะเดา อ.นาทวี จ.สงขลา, อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และ อ.ควนโดน อ.ละงู อ.เมือง จ.สตูล ตามความต้องการของขบวนการ โดยมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน นั่นคือ การจ่าย “ส่วย” ให้แก่หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามน้ำมันเถื่อน
ถ้าคาร์บอมบ์เป็นการ “ข่มขู่” เจ้าหน้าที่รัฐจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนจริง อันเป็นไปตามแนวทางการสืบสวนสอบสวนของทั้งตำรวจ และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐไฟเขียวมิให้ขัดขวางการค้าน้ำมันเถื่อนแล้ว
แสดงว่าการข่มขู่ของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนได้ผล เพราะหลังจากที่มีคาร์บอมบ์ และมอเตอร์ไซค์บอมบ์เกิดขึ้น วันนี้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนต่างเริงร่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถขนถ่ายน้ำมันเถื่อนจากมาเลเซีย ผ่านทาง อ.สะเดา อ.นาทวี จ.สงขลา และ อ.ควนโดน อ.ละงู อ.เมือง จ.สตูล ได้อย่างคึกคักยิ่ง
อันเป็นความคึกคักโดยได้รับไฟเขียวจากเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจท้องที่ ตำรวจชุดปราบปรามน้ำมันเถื่อน ทั้งจากกองบัญชาการสอบสวนกลาง หรือจาก บช.ภ.9 และ จาก บกภ.จว.สงขลา
และที่โดดเด่นที่สุดในการเปิดไฟเขียวให้แก่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนคือ เจ้าหน้าที่ “ศุลกากร” ประจำด่านตรวจทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นด่านศุลกากรสะเดา ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ อ.สะเดา ด่านศุลกากรบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา และด่านศุลกากร ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล ต่างยินยอมให้รถบรรทุกน้ำมันเถื่อน ทั้งแบบที่ติดแท็งก์น้ำมัน และแบบที่ติดถังลับใต้ท้องรถยนต์สามารถเข้า-ออกได้ตามแต่ใจต้องการ แถมจะวิ่งวันละกี่เที่ยวก็ได้
ส่วนเจ้าหน้าที่ “สรรพสามิต” หน้าที่หลักวันนี้ก็เช่นเดียวกับชุดปราบน้ำมันเถื่อนคือ ตั้งด่านตรวจสอบเฉพาะรถบรรทุกน้ำมันที่เป็นของบริษัท หรือเป็นของปั๊มน้ำมัน ซึ่งบรรทุกน้ำมันถูกต้องจากคลังน้ำมัน อ.สิงหนคร จ.สงขลา เป็นการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ไม่เคยตรวจสอบจับกุมรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่วิ่งกันขวักไขว่จากชายแดนมาเลเซีย ไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น พัทลุง ตรัง กระบี่ หรือนครศรีธรรมราช แต่อย่างใด
เหตุผลที่เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยไม่แตะต้องขบวนการน้ำมันเถื่อน คงไม่ใช่กลัวว่าขบวนการจะว่าจ้างอาร์เคเคไปวางระเบิดถล่มอย่างที่เกิดขึ้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา แต่เป็นเพราะทุกหน่วยงานต่าง “ถือบัญชีรายชื่อ” ของรถทุกคันที่บรรทุกน้ำมันเถื่อนไว้ในมือ และเรียกเก็บเงินแบบ “รายเที่ยว” และ “รายเดือน” ตามที่ตกลงกัน
ที่ชัดเจนคือ บริเวณแนวชาวแดนทุกแห่งจะมี “นายหน้า” ที่อ้างว่าเป็นคนของ “ศุลกากร” เป็นผู้ตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนทุกคัน และเรียกเก็บเงินเป็น “รายวัน” ตามจำนวนน้ำมันในรถบรรทุกว่ากี่ลิตร โดยมีการเรียกเก็บลิตรละ 2 บาท วันหนึ่งถ้ามีการนำน้ำมันออกไป 1 ล้านลิตร ก็เก็บได้ด่านละ 2 ล้านบาทแล้ว
นี่แค่หน่วยงานเดียว ส่วนหน่วยงานอื่นๆ ก็เรียกเก็บ “ส่วย” ตามที่ตนเองกำหนด เช่น “โรงพัก” แต่ละแห่งที่รถบรรทุกน้ำมันเถื่อนต้องวิ่งผ่านก็เรียกเก็บเป็นรายเดือนๆ ละ 2-5 พันบาทต่อคันต่อเดือน เป็นต้น
ที่นำเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นใหม่มาเล่าให้ฟังกันใหม่ในวันนี้ เพียงอยากจะบอกแก่ทุกคน หรือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า หลังจากที่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน “แผลงฤทธิ์” ข่มขู่เจ้าหน้าที่ด้วยการทำคาร์บอมบ์ และมอเตอร์ไซค์บอมบ์ที่ อ.สะเดา จ.สงขลาแล้ว วันนี้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในชายแดนใต้ตั้งแต่ จ.นราธิวาส จ.ปัตตานี จ.ยะลา จ.สงขลา และ จ.สตูล เติบโตขยายตัวอย่างน่าตกใจ
มีรถบรรทุกขนน้ำมันเถื่อนกันตลอด 24 ชั่วโมง มีการเกิดขึ้นของ “บ่อน้ำมัน” ในพื้นที่แนวชายแดน เช่น ต.ทุ่งหมอ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา หรือใน ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล
บ่อน้ำมันเหล่านี้ก็คือที่เก็บกักน้ำมันเพื่อให้รถบรรทุกน้ำมันจากพื้นที่ต่างๆ มาสูบน้ำมันจากบ่อไปส่งให้ลูกค้าในจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้ง “ปั๊มน้ำมันหลอด” หรือ “ปั๊มหลอด” ที่เคยหยุดไประยะหนึ่ง วันนี้เริ่มผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดอีกครั้งแล้ว และไม่เว้นแม้กระทั่งถนนสายเอเชีย
อันเป็นเหมือนกับการจงใจตบหน้า “พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ พิสุทธ์ศักดิ์” ผบช.ภ.9 ที่เคยมีคำสั่งถึง ผกก.ทุก สภ. ห้ามมิให้มี “ปั๊มน้ำมันเถื่อน” ในพื้นที่ โดยเฉพาะบนถนนสายหลักๆ
นี่คือความยิ่งใหญ่ของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนบนแผ่นดินไฟใต้ และเป็นการฉายภาพให้เห็นความ “อ่อนแอ” ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ “ศุลกากร-ตำรวจ-สรรพสามิต” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง หรือไม่ก็ต้องการชี้ว่าเป็นความ “จงใจ” ให้เป็นเช่นนั้น เพราะผลประโยชน์จากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่วันนี้ “ยกระดับ” เป็น “ขบวนการข้ามชาติ” อย่างชัดเจนไปแล้ว