xs
xsm
sm
md
lg

ขบวนการน้ำมันเถื่อน “เชื้อชั่ว” ที่พร้อมจะ “คืนชีพ” อีกครั้ง?!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายย่อยรวมตัวกดดันที่ สภ.ปาดังเบซาร์
 
โดย...ทีมข่าวเฉพาะกิจภูมิภาค
 
จากกรณีที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเถื่อนจากประเทศมาเลเซีย ได้นำกำลังกว่า 200 คน เดินทางมายัง สภ.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดการตั้งจุดตรวจเพื่อจับกุมผู้ทำผิดกฎหมาย โดยเน้นที่ “การค้าน้ำมันเถื่อน” เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้อ้างถึงความเดือดร้อน และอ้างถึงวิถีชีวิตของคนชายแดนว่า การค้าน้ำมันเถื่อนเป็นการหาเช้ากินค่ำนั้น
 
กรณีนี้ได้แสดงให้เห็น “นัย” หลายอย่างด้วยกัน?!
 
ประการแรก การค้าน้ำมันเถื่อน ทำกันอย่างเป็นขบวนการ มี “นายทุน” ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ในการให้ทุนรับซื้อ และขายส่ง รวมทั้งคุ้มครองจนขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในชายแดนปาดังเบซาร์ยิ่งใหญ่ และเข้าใจว่าการค้าน้ำมันเถื่อนเป็นเรื่องที่ “ถูกต้อง” ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด
 
เหตุผลที่พวกเขาเห็นว่าการค้าน้ำมันเถื่อนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเพราะที่ผ่านๆ มาได้มีการ “จ่ายส่วย” ให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วย ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ และที่มาจากนอกพื้นที่ เช่น ตำรวจชุดปราบน้ำมันเถื่อน (ปนม.) ทั้งจากส่วนกลาง (สอบสวนกลาง) จาก บชภ.9. และจาก บก.ภ.จว.สงขลา รวม 22 ชุด รวมทั้งมีการจ่ายให้แก่ “หัวเบี้ย” ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของศุลกากร สรรพสามิต และฝ่ายปกครอง
 
จนทำให้คนเหล่านี้ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เมื่อตำรวจตั้งจุดตรวจเพื่อจับกุมผู้ค้าน้ำมันเถื่อน จึงรู้สึกว่าตำรวจทำไม่ถูก ทำไมจึงต้องจับกุมผู้ที่มีอาชีพค้าน้ำมันเถื่อน
 
ประการที่สอง การออกมากดดันเจ้าหน้าที่ สภ.ปาดังเบซาร์ ในครั้งนี้ นายทุนได้รับ “ไฟเขียว” จากเจ้าหน้าที่ผู้สูญเสียผลประโยชน์จากการค้าน้ำมันเถื่อน ทั้งในพื้นที่ และนอกพื้นที่ เนื่องจากรายได้จากน้ำมันเถื่อน และรายได้จาก “ส่วยน้ำมันเถื่อน” ที่เจ้าหน้าที่ได้รับในแต่ละเดือนจำนวนมหาศาล
 
ประการที่สาม ผู้ค้าน้ำมันเถื่อนไม่ได้เดือดร้อนจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่จนต้อง “อดตาย” เพราะคนเหล่านี้สามารถไปทำมาหากินอย่างอื่นได้ และจำนวนหนึ่งมีอาชีพอยู่แล้ว แต่ทิ้งอาชีพเดิมมาค้าน้ำมันเถื่อนเพราะรายได้ดีกว่า และหากค้าน้ำมันเถื่อนไม่ได้จริงๆ ก็สามารถทำงานอย่างอื่นได้ แต่ที่ออกมาเคลื่อนไหวกดดันเจ้าหน้าที่เป็นเพราะมี “คำสั่ง” ให้ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อที่จะได้ทำงานที่ผิดกฎหมายต่อไป
 
ประการที่สี่ นับตั้งแต่ พล.ต.ต.วีระสิทธิ์ เพชรคล้าย รอง ผบช.ภ.9 มีคำสั่งย้าย  พ.ต.อ.ไผพนา เพ็ชรเย็น ผกก.สภ.สะเดา จ.สงขลา และ พ.ต.อ.เธียร บาลทิพย์ ผกก.สภ.ควนโดน จ.สตูล ไปช่วยราชการที่ บชภ.9 อย่างไม่มีกำหนด ในข้อหาปล่อยให้มีการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ กลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนซึ่งเป็น “รายย่อย” ที่ลักลอบนำน้ำมันบรรจุถัง น้ำมันดัดแปลงชนิด 100-150 ลิตร ยังสามารถลักลอบนำน้ำมันที่ส่วนใหญ่เป็น น้ำมันเบนซิน เข้ามาจำหน่ายได้ เพียงแต่ลดจำนวนน้อยลง
 
เหตุผลที่บอกว่า ผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายย่อยที่เป็นชาวบ้านทั่วไปไม่ได้กระทบกระเทือนจนถึงขั้น “อดตาย” ถ้าไม่ได้ค้าน้ำมันเถื่อนคือ ทุกวันนี้จำนวนน้ำมันขวด น้ำมันบรรจุแกลลอน ซึ่งเป็นน้ำมันเถื่อน ยังวางขายเต็มไปหมด ตั้งแต่ตลาดชายแดนปาดังเบซาร์ ตลาดด่านนอก ตลาดเทศบาลสะเดา คลองแงะ ทุ่งลุง เมืองหาดใหญ่ และเมืองสงขลา รวมทั้งบริเวณ 2 ข้างทางถนนกาญจนวนิชจาก อ.สะเดา จนถึง อ.เมืองสงขลา และในอีกหลายพื้นที่รอบนอก
 
เหล่านี้คือน้ำมันเถื่อนจากประเทศมาเลเซียที่ถูกขนเข้ามาโดยผู้ค้ารายย่อย ดังนั้น จึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า การที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ชุดปราบน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็น “ภัยแทรกซ้อน” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ตั้งจุดตรวจเพื่อจับกุมน้ำมันเถื่อนนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่ผู้ค้ารายย่อย และผู้ค้ารายย่อยไม่ได้เดือดร้อน เพราะเห็นได้จากน้ำมันเถื่อนที่ยังขายอยู่ทุกมุมเมือง ซึ่งเป็นน้ำมันที่มาจากผู้ค้ารายย่อยเกือบทั้งหมด
 
ผู้ที่เดือดร้อนจากการ “เข้มงวด” ของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ คือ ผู้ค้ารายใหญ่ ผู้ค้าน้ำมันเบนซิน และดีเซล ซึ่งใช้รถดัดแปลงที่มีถังบรรจุน้ำมันตั้งแต่ 1,000 ลิตร จนถึง 3,000 ลิตร และนำน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ส่งไปจำหน่าย ตั้งแต่ จ.สงขลา จ.พัทลุง จ.ตรัง จ.นครศรีธรรมราช จ.กระบี่ จ.สุราษฎร์ธานี ฯลฯ โดยกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ต่างหากที่เดือดร้อน และขอความร่วมมือจากกลุ่มผู้ค้ารายย่อยมากดดันเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เห็นว่าผู้ค้ารายย่อยได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการจับกุมของเจ้าหน้าที่
 
สิ่งที่เห็นชัดเจน และเป็น “คุณูประการต่อประเทศ” หลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้มงวดกับการค้าน้ำมันเถื่อนเพียงเดือนเดียวคือ ทำให้ “ปั๊มเถื่อน” ที่เป็น “ปั๊มหลอด” จำนวนมากต้องปิดตัวลง ปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ จำนวนมากต้องหันไปซื้อน้ำมันจาก “คลังน้ำมัน” มากขึ้น โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทรถบรรทุกขนส่งสินค้าจำนวนมากต้องสั่งซื้อน้ำมันจากบริษัทค้าน้ำมันที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั่นหมายถึงว่า ประเทศชาติได้ภาษีน้ำมันจากผู้ใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะนำภาษีเหล่านั้นไปพัฒนาประเทศ
 
จากข้อมูลของ พ.อ.จตุพร กะลัมพะสุต หัวหน้าชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ระบุว่า การค้าน้ำมันเถื่อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากจะส่งเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ขบวนการก่อการร้ายเพื่อก่อเหตุร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ยังทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละ 38,000 ล้านบาท
 
ดังนั้น พล.ต.ท.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ ผบช. บชภ.9 และ พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จว.สงขลา จะต้องไม่ “ใจอ่อน” กับเล่ห์เหลี่ยมของนายทุน และยอมแพ้ต่อ “อำนาจเงิน” ของนักการเมือง ทั้งระดับชาติ และท้องถิ่น ยินยอมอ่อนข้อให้แก่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติรายใหญ่ให้คืนชีพกลับมาอีกครั้ง
 
เพราะถ้ามีการปล่อยให้มีการทำผิดกฎหมาย ด้วยการปล่อยให้ขบวนการน้ำมันเถื่อนสามารถดำเนินการขนน้ำมันอย่างที่เคยเกิดขึ้น เท่ากับว่า “ท่านมีส่วนร่วม” กับการทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติด้วย
 
โดยข้อเท็จจริง ตำรวจเพียงหน่วยงานเดียวไม่สามารถที่จะหยุดขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะยังมีหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงอย่าง “ศุลกากร” และ “สรรพสามิต” ต้องทำหน้าที่อย่างจริงจังด้วย แต่ที่ผ่านมา หน่วยงานทั้ง 2 หน่วยนี้ได้ทำหน้าที่ “ข้าราชการที่ดี” ของประเทศแล้วหรือไม่ สังคมในพื้นที่คงจะให้คำตอบได้ดีที่สุด
 
ทุกวันนี้ยังมี “หัวเบี้ย” ที่อ้างว่าเป็น “ตัวแทน” ของศุลกากรทั้งที่ปาดังเบซาร์ และสะเดายังเรียกเก็บ “ส่วย” จากผู้ค้าน้ำมันเถื่อน ทั้งรายใหญ่ และรายย่อย ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างทนโท่ เช่น ที่ อ.สะเดามี “นายหน้า” ที่ทำตัวเป็นหัวเบี้ยไปยืนเก็บเงินจากรถทุกคันที่บรรทุกน้ำมันเถื่อนในฝั่งของประเทศมาเลเซีย ซึ่งผู้ผ่านทางทุกคนต่างเห็นจนกลายเป็นภาพที่ชินตาไปแล้ว เช่นเดียวกับสรรพสามิตที่ปัจจุบันมีผู้ที่อ้างว่าเป็น “ตัวแทน” ทำหน้าที่เก็บเงินจากปั๊มน้ำมันในพื้นที่ทุกปั๊มที่รู้ว่ามีการจำหน่ายน้ำมันเถื่อน
 
ถ้าหน่วยงานทั้ง 2 หน่วยงานนี้ยังหาผลประโยชน์บนความหายนะของประเทศชาติ คงจะเป็นการยากที่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนจะหายไปจากชายแดนของ จ.สงขลา และของจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
เว้นแต่  พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. จะต้อง “จับเข่า” หารือกับ นายราฆพ ศรีศุภอรรถ อธิบดีกรมศุลกากร เพื่อขอความชัดเจนว่า ศุลกากร จะดำเนินการอย่างไรกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร และสรรพสามิตที่ปฏิบัติหน้าที่ใน จ.สงขลา และอื่นๆ ในภาคใต้ตอนล่าง
 
ถ้ากรมศุลกากรกล้าที่จะ “เชือดไก่ให้ลิงดู” ด้วยการทำโทษย้ายล้างบางศุลกากรที่บกพร่อง และมีผลประโยชน์จากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนให้เห็นสักครั้ง เชื่อว่าจะทำให้ “เชื้อชั่ว” ในขบวนการน้ำมันเถื่อนลดน้อยลงอย่างแน่นอน และประเทศชาติจะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล




 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น