คอลัมน์ : ฝ่าเกลียวคลื่น
โดย...บรรจง นะแส
การที่พ่อแม่หายไปจากหมู่บ้านครั้งละหลายๆ วันเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กๆ อย่างจ้อน และเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน และที่โรงเรียน คำถามที่พูดคุยกันบ่อยๆ ในหมู่เพื่อนๆ ของจ้อนก็คือ
“พ่อมึงกลับมาหรือยัง ...”
“พ่อกูบอกว่าปิดเทอมนี้จะพากูไปด้วยล่ะ”
“เมื่อวานพ่อกูกลับมาแล้ว เอากระจงย่าง หมูเถื่อนใสเค็ม และเขี้ยวหมูเถื่อนมาฝากกูด้วยล่ะ”...
จ้อนเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หลายๆ ครั้งที่พ่อกับแม่ปล่อยให้จ้อน และพี่ๆ น้องๆ อยู่ที่บ้านตามลำพังยาวนานเป็นเดือนๆ โดยมีพี่สาวคนโตทำหน้าที่ของแม่ในการหุงหาอาหาร และปกครองน้องๆ โดยมีญาติๆ แวะเวียนมาดูบ้างว่าเรากินอยู่กันอย่างไร
วันไหนที่เป็นวันที่พ่อแม่จะออกเดินทางไกล คืนนั้นจะเป็นคืนที่จ้อนไม่ยอมไปนอนที่บ้านคุณตา เขารู้สึกหวาดกลัวบอกไม่ถูก เขากลัวว่าพ่อจะจากไปแบบไม่มีวันกลับ หรือกลับมาอย่างกับพ่อของไอ้จืด พ่อของไอ้จืดออกไปจากหมู่บ้าน แต่กลับมาด้วยร่างที่ไร้วิญญาณ คนในหมู่บ้านพูดกันว่า พ่อไอ้จืดเป็นไข้ป่าที่เรียกว่ามาลาเรียขึ้นสมอง
ก่อนออกเดินทางไกล แม่มักตำข้าวเปลือกให้เป็นขาวสารใส่กระสอบเตรียมไว้ วันออกเดินเท้าทางไกลของพ่อกับแม่ บนบ่าของพ่อจึงมีคานหาบที่สองข้างพะรุงพะรังไปด้วยกระสอบข้าวสารและของใช้ต่างๆ จ้อนนั่งดูพ่อกับแม่จัดสิ่งของอย่างเงียบๆ แล้วตามมองสองคนเดินฝ่าความมืดไปตั้งแต่ย่ำรุ่ง พ่อกับแม่ต้องกลับมา และจ้อนฝันไว้ว่าสักวันจะต้องตามไปดูให้ได้ว่า พ่อกับแม่ไปทำอะไรที่ไหนกัน พ่อบอกเพียงว่าไปทำสวนไว้ให้ลูกๆ
ในหมู่บ้านของเรามีพื้นที่ทำกินน้อย การเดินทางไปหักร้างถางป่าเพื่อทำสวนยางพาราในพื้นที่ต่างตำบล ต่างอำเภอ บางคนก็ไปรับจ้างกรีดยาง คนในหมู่บ้านของจ้อนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น ชื่อของหมู่บ้านที่พวกคนรุ่นพ่อมักคุยกันจนติดหูของจ้อนเสมอๆ เช่น บ้านเขาน้ำค้าง บ้านเขาวังชิง อำเภอรามัญ อำเภอสะเดา จะนะ เทพา ยะหา สะบ้าย้อย
ตาผอมเคยเล่าให้จ้อนฟังเสมอๆ ตอนออกไปเลี้ยงวัวด้วยกัน แกบอกว่า พ่อกับแม่ของจ้อนโชคดีที่มีคนนำทางไปบุกเบิกพื้นที่ไว้ก่อนแล้ว ทำให้พ่อกับแม่ของจ้อนไม่ต้องลำบากมาก และสามารถพาเพื่อนบ้านไปหักร้างถางป่าทำสวนที่นั่นได้หลายครอบครัว
“น้องชายของปู่เอ็งหนีคดีแล้วไปบวชเป็นพระ ไปสร้างวัดจนได้เป็นเจ้าอาวาสที่นั่น” ตาผอมบอก
“น้องชายของปู่เอ็งเขาลือกันว่า เป็นไอ้เสือ ตอนหลังออกไปปล้นในเมืองโดนตำรวจล่า เลยหนีไปจากหมู่บ้าน พอไปพ้นตัวอำเภอที่เราอยู่ ตำรวจก็ไม่ตามไปจับ แกเลยบวชเป็นพระไม่สึกตั้งแต่บัดนั้น”
“สมัยตอนพ่อเอ็งเล็กๆ อายุสี่ห้าปี ปู่เอ็งก็ส่งพ่อเอ็งไปรับใช้ท่านเจ้าอาวาสอยู่ในวัดที่นั่น พ่อเอ็งเลยมีเพื่อนเยอะ เป็นช่องทางให้สามารถรู้ที่บุกเบิกทำไร่ทำสวนได้ดีกว่าคนอื่นๆ ที่ไปแบบตายเอาดาบหน้า” ตาผอมเล่าบ่อยๆ ในทำนองนี้
เสียงระฆังบอกเวลาเลิกเรียนของวันนี้ เป็นวันที่จ้อนใจระทึกที่สุดในชีวิต
“มึงไปรับท้ามันทำไม มันตัวใหญ่กว่ามึงตั้งเยอะ” เจ้าจืดเพื่อนสนิทของจ้อนพูดด้วยแววตาห่วงใยและกังวล
“มึงไปบอกเลิก และยอมมันก็ได้ วันก่อนกูก็เห็นไอ้เขียวบอกเลิกกับไอ้รัญ ไม่เห็นจะเป็นไร มึงสู้มันไม่ได้อยู่แล้ว” ไอ้จืดคะยั้นคะยอ
เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนพักเที่ยงของวันนี้ แจ่มจันทร์ สาวในหัวใจของจ้อนยืนร้องไห้อยู่ริมห้อง ปกติจะไม่มีใครกล้าตอแยกับแจ่มจันทร์ เพราะเสรี พี่ชายของแจ่มจันทร์เป็นที่ยำเกรงของเพื่อนฝูง เทอมนี้พี่ชายแจ่มจันทร์เรียนจบ และตามไปทำสวนกับพ่อที่รามัญ ทุกเช้าเย็นจ้อน จืด และแจ่มจันทร์ จะเป็นเพื่อนร่วมทางทั้งขาไป และขากลับจากโรงเรียน แจ่มจันทร์เป็นคนเรียบร้อย เรียนหนังสือเก่ง จ้อน และจืดมักได้อาศัยความฉลาดของแจ่มจันทร์ในการทำการบ้านส่งครูเสมอๆ แลกกับการยกร่องผัก และขนน้ำรดน้ำผักให้เธอ
จ้อนฟังความได้ว่า เมื่อตอนเที่ยงแจ่มจันทร์ก็ไปเล่นกระโดดยางกับเพื่อนๆ ตามปกติ แต่วันนี้เจ้าหิน และพรรคพวกของมันอีกสองสามคนไปนั่งดูเวลาแจ่มจันทร์ และเพื่อนๆ กระโดดยาง ปกติเด็กผู้ชายทั่วๆ ไปจะไม่ไปยุ่งเวลาเด็กผู้หญิงเล่นกระโดดยาง เพราะพวกเธอไม่ได้ใส่กางเกงใน แจ่มจันทร์บอกจ้อนว่า พวกเธอย้ายไปเล่นตรงไหนๆ ไอ้หิน และพวกของมันก็ตามไปนั่งมุงดู ที่ร้ายไปกว่านั้น ไอ้หินมันใช้ยางเส้นยิงปิ๊แจ่มจันทร์ และเพื่อนๆ อีกด้วย จ้อนรู้สึกว่ามันมากเกินไปซะแล้ว เลยเข้าไปถามไอ้หินว่า ทำจริงไหม ไอ้หินบอกว่าจริง
“แล้วมึงมาเสือกทำไมด้วย หรือมึงจะเอายังไง” เจ้าหินถามกลับแบกร่างๆ
จ้อนเผลอพูดไปด้วยความโกรธว่า
“เย็นนี้มึงกับกูเจอกัน”
“เย็นนี้เจอกัน” เป็นภาษาที่รับรู้ร่วมกันว่า สถานที่ใต้ต้นไทรใหญ่ระหว่างหมู่บ้าน คือ สถานที่นัดตกลงกัน เพื่อจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหมู่นักเรียนของพวกเรา ที่ผ่านๆ มา จ้อนและจืดเป็นได้แค่คนดู หรืออย่างมากก็แค่สนับสนุนถอดเสื้อให้พี่ๆ ที่เขาชกกันนำไปหุ้มมือ แต่วันนี้เขาต้องเป็นคู่ชกที่ถูกป่าวประกาศแบบกระซิบๆ กันไปทั่วโรงเรียนในหมู่นักเรียนที่เดินทางกลับในเส้นทางสายนั้น…..
ก่อนที่จ้อนจะล้มตัวลงกองบนพื้นทรายเพราะแรงหมัดของไอ้หิน เขาเหลือบไปเห็นแววตาของแจ่มจันทร์ที่ยืนเกาะแขนเจ้าจืดมองเขาด้วยความเห็นใจ จ้อนคิดในใจว่า มันคุ้มแสนคุ้มกับสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจไปในวันนี้
“ขวับๆๆๆ” ไม้เรียวจากมือคุณยายหวดลงไปที่น่องของจ้อนอย่างไม่ปรานี
“จำไว้เลยนะ อย่าริหัดเป็นนักเลงอีก ครั้งต่อไปจะโดนหนักกว่านี้อีก” คุณยายฟาดไม้เรียวลงบนแผ่นหลังจ้อนอย่างไม่ยั้ง
“พอๆ...แกจะให้มันเป็นกะเทยรึไงวะ เด็กผู้ชายมันก็ต้องมีมั่งชกต่อยกัน มันเรื่องธรรมดาน่ะ” คุณตาเข้ามาห้ามคุณยายให้เลิกหวดจ้อน
“ให้ท้ายกันดีนัก...อยากให้หลานโตขึ้นเป็นอย่างพรรคพวกของแกรึไง” เป็นครั้งแรกที่จ้อนเห็นคุณยายเสียงเขียวใส่คุณตา
“แต่ละคนๆ ไม่เคยรู้จักทำมาหากิน เดี๋ยวก็ปล้น เดี๋ยวก็ลักวัวลักควายชาวบ้านเค้า ทำความเดือดร้อนชาวบ้านเขาไปทั่ว ถูกแช่งถูกด่าทุกวัน ระวังจะตายโหงกันหมด” คุณยายโมโหสุดๆ แต่ก็ยุติการฟาดจ้อนลงได้
“ไปอาบน้ำไปกินข้าวซะ..เดี๋ยวคืนนี้ตาจะทายาหม่องให้” คุณตาเป็นอีกคนที่เข้าใจจ้อน แต่คืนนี้เขาต้องนอนตะแคงไปทั้งคืน เพราะฤทธิ์ไม้เรียวของคุณยาย แต่สิ่งที่เขาได้มาในคืนนี้ก็คือ จ้อนได้หลับฝันเห็นแววตาที่แสนสวยของแจ่มจันทร์ไปตลอดทั้งคืน.