ตรัง - เจ้าของแปลงเพาะชำกล้ายางพันธุ์ดีในจังหวัดตรัง โอดได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคายางตกต่ำ และจากปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามากระทบ ส่งผลให้ยอดขายตกลงไปนับเท่าตัว
วันนี้ (4 พ.ค.) นางสุจินต์ ธีระกุลพิสุทธิ์ เจ้าของแปลงเพาะชำกล้ายางพันธุ์ดีรายใหญ่แห่งหนึ่งใน จ.ตรัง กล่าวว่า ผลพวงจากสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ภาคใต้ นับเมื่อปี 2555 ผู้ประกอบการหลายรายจึงได้ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ในปี 2556 มีต้นกล้ายางพันธุ์ดีสำหรับการจำหน่ายไม่มาก ประกอบกับต้องมาเจอกับภาวะยางราคาตกต่ำกระหน่ำซ้ำเติมอีก และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ค่อนข้างจะย่ำแย่ ในขณะที่ภาครัฐเองก็ไม่มีการเดินหน้าโครงการขยายพื้นที่เพาะปลูกยางทั่วประเทศ 8 แสนไร่ต่อเนื่อง จึงทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก
นอกจากนั้น การที่ราคาไม้ยางลดต่ำลงมานับเท่าตัว จากเดิมซึ่งอยู่ที่ประมาณไร่ละ 1.5 แสนบาท กลับเหลือเพียงแค่ไร่ละ 5-6 หมื่นบาท ส่งผลให้เกษตรกรส่วนใหญ่ตัดสินใจชะลอการตัดโค่น จึงกระทบมาถึงแผนการสั่งซื้อต้นกล้ายางพันธุ์ดีเพื่อนำไปปลูกใหม่ ส่วนต้นทุนในการผลิตก็พุ่งสูงขึ้น ไม่ว่าเป็นค่าถุงชำ ค่าปุ๋ย ค่ายาปราบศัตรูพืช รวมไปถึงค่าติดตายาง จากเดิมต้นละ 1.50 บาท ก็ได้เพิ่มเป็นต้นละ 3 บาท รวมทั้งค่าแรงที่ค่อนข้างจะขาดแคลน แต่กลับไม่สามารถนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาใช้ได้อย่างเต็มที่
ส่วนยางตาเขียว ก็มีต้นทุนสูงถึงต้นละ 8 บาทแล้ว แต่นำไปขายได้แค่ต้นละ 10 บาท เท่านั้น ส่วนยางชำถุงชั้นเดียว ก็มีต้นทุนสูงถึงต้นละ 20 บาท แต่นำไปขายได้แค่ต้นละ 25 บาทเท่านั้น อีกทั้งการเพาะชำกล้ายางพันธุ์ดีก็มีโอกาสติดยากขึ้น อันเนื่องมาจากสภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นจนเกือบ 40 องศาในบางวัน ขณะที่ราคาขายต้นกล้าไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แถมยังต้องลดต่ำลงมาเพื่อเอาใจลูกค้าด้วยซ้ำ จนส่งผลให้ผู้ประกอบการย่ำแย่ไปตามๆ กัน