xs
xsm
sm
md
lg

หยุดแก้ปัญหา...ด้วยการแดกโชว์กันได้แล้ว / บรรจง นะแส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์ : ฝ่าเกลียวคลื่น
โดย...บรรจง  นะแส
 
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ภาพของ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว อธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช นายวิชิต ชาติไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายสุเมธ สายทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าหมู่เกาะเสม็ด และ นายภุชงค์ สฤษฎีชัยกุล ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 ซึ่งแต่ละท่านล้วนเป็นบุคคลระดับรัฐมนตรี และข้าราชการผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ได้เดินทางไปในตลาดบ้านเพ ตลาดตะพง ในพื้นที่รอบเกาะเสม็ด
 
เพื่อทำพิธี “กินปูโชว์” ผู้สื่อข่าว เพื่อจะให้สื่อสารกับสาธารณะว่า ปูทะเล ระยอง หรือในพื้นที่รอบเกาะเสม็ด ยังรับประทานได้ ขอให้นักท่องเที่ยวมั่นใจ

คำถามจึงมีว่า นี่คือวิธีการในการแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างตรงจุดหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน หรือนี่คือปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่ได้ผลเหมือนกับเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ที่ผ่านๆ มา จนต้องถือเป็นแบบอย่าง เป็นหลักปฏิบัติที่คนระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีจะต้องงัดมาปฏิบัติการในทุกๆ ครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้

ถ้าเรายังจำกันได้ เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมานี้เอง (วันที่ 18 กรกฎาคม 2556) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปที่บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา แล้วทำการทดสอบคุณภาพข้าวที่หุงสุกแล้ว และ “กินข้าวโชว์” สื่อมวลชน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค และประชาชนจากสาเหตุของข่าวพบสารเคมีปนเปื้อนในข้าวสาร
 
ก่อนหน้าอีกกรณีคือ ในปี 2548 ตอนนั้น ประเทศของเรามีวิกฤตกรณีไข้หวัดนกในไก่ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ออกมาลาดตระเวนพร้อมคณะรัฐมนตรี เพื่อ “กินไก่โชว์” เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่า ไม่ต้องวิตกกังวลใจใดๆ ทั้งสิ้นกับเรื่องไข้หวัดนก แล้วกระแสข้าวสารปนเปื้อน ไก่ติดเชื้อไข้หวัดนก ก็เริ่มจางหายไปจากสังคม ทั้งๆ ที่ในทางวิชาการในการตรวจสอบพิสูจน์ยังไม่จบสิ้นกระบวนความ

กรณีของไก่ติดเชื้อไข้หวัดนก กรณีข้าวสารปนเปื้อน ล้วนเป็นผลกระทบต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในทางการเมือง คือ ผลประโยชน์ของบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ คนในระดับนายกรัฐมนตรีจึงต้องออกโรงเอง ใช่หรือไม่???
 
แต่กรณีผลกระทบจากน้ำมันรั่วลงทะเลระยองในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งได้ส่งผลกระทบต่อชาวประมงพื้นบ้านในระยอง ซึ่งที่มีอยู่ประมาณ 20 กลุ่ม ที่จะได้รับผลกระทบ ในเบื้องต้นพบว่า มีชุมชนประมงและผู้ประกอบอาชีพประมงชายฝั่งแล้วอย่างน้อยๆ มี 6 กลุ่ม ซึ่งได้แก่ กลุ่มชาวประมงลานหินขาว กลุ่มชาวประมงแหลมเทียน กลุ่มชาวประมงเรือเล็กศาลาเขียว กลุ่มหมู่บ้านประมงสวนสนยูงทอง กลุ่มเรือนวลทิพย์ และกลุ่มอวนปู โดยมีพี่น้องชาวประมงไปลงชื่อร้องเรียนถึงผลกระทบที่พวกเขาได้รับจากการทำการประมงแล้วประมาณ 560 ราย ผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมที่พวกเขาได้รับก็คือ ผู้บริโภคต่างงดการสั่งซื้ออาหารทะเลจำพวก หอย ปู ปลาจากพวกเขา
 
จากวันแรกที่น้ำมันรั่วไหลเข้ามา ชาวประมงต้องเร่ขายปูเพียงกิโลกรัมละ 100 บาท ต้องยอมขายลดราคาลงกว่าร้อยละ 50 ทำให้ขาดทุน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นักท่องเที่ยวก็ลดลง แหล่งท่องเที่ยวเริ่มขาดรายได้ ผู้บริโภคอาหารทะเลเริ่มปฏิเสธการซื้อสัตว์ทะเล เพราะไม่มั่นใจว่าจะมีสารปนเปื้อนหรือไม่ จึงไม่กล้าซื้อกิน กรุ๊ปทัวร์ ร้านอาหารต่างก็งดสั่งอาหารทะเล ทำให้ชาวประมงขาดรายได้เลี้ยงชีพ และครอบครัวเริ่มเดือดร้อน

ถ้าเรามาดูบทเรียนเช่นเดียวกันนี้ในต่างประเทศ อย่างกรณีบริษัทน้ำมันเชฟรอน ของสหรัฐอมริกา ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุทำให้น้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่จากบ่อสำรวจน้ำมันในทะเล เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 จากแหล่งขุดเจาะน้ำมันเฟรด นอกชายฝั่งนครริโอ เดอ จาเนโร ระยะทางประมาณ 370 กม.
 
ทำให้ทางรัฐบาลบราซิล สั่งระงับการขุดเจาะน้ำมันทั้งหมดของบริษัทเชฟรอน นอกจากนั้น สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติบราซิล มีคำสั่งปรับเงินบริษัทเชฟรอน 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และต่อมา อิบามา (Ibama) ซึ่งเป็นหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของบราซิลได้สั่งปรับเพิ่มอีกเป็นเงิน 5.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โทษฐานที่บริษัทขาดการเตรียมพร้อมในการรับมือเหตุน้ำมันรั่วไหลนอกชายฝั่งนครริโอ เดอ จาเนโร เพราะตรวจสอบพบว่า บริษัทขาดอุปกรณ์ที่จำเป็นในเรื่องฉุกเฉิน และตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช้ามาก

เมื่อเกิดวิกฤตที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ว่าในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคจากการกระทำของฝ่ายธุรกิจ เราจึงไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดีของประเทศไหนในโลกใบนี้ ที่ออกไป “ยืนกินโชว์นั่งเปิบโชว์” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ธุรกิจของเอกชน
 
แต่เขาสั่งให้หน่วยงานวิชาการ กลไกอิสระของรัฐออกมาทำหน้าที่ตรวจสอบความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และแถลงความจริงต่อประชาชนของเขาเท่านั้น
 
กรณีการกระทำของธุรกิจเอกชน หากกระทำการใดๆ แล้วกระทบต่อประชาชนผู้ทำมาหากินโดยสุจริต รัฐต้องทำหน้าที่ออกมายืนอยู่ข้างประชาชนของตัวเอง ในการทำหน้าที่เรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่ออาชีพ และรายได้ของประชาชน รวมไปถึงการยื่นฟ้องเรียกร้องค่าใช้จ่ายใดๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นในกิจกรรมอนุรักษ์ และฟื้นฟูสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากธุรกิจเอกชนที่ก่อเหตุขึ้น ไม่ใช่ออกมาปกป้องซูเอี๋ยกันอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้
 
พวกท่านไม่ละอายแก่ใจกันบ้างเหรอครับ หรือมองว่าประชาชนของบ้านนี้เมืองนี้ท่านจะกระทำอะไรก็ได้ ระวังเถิด...เมื่อชาวบ้านเขาหมดความอดทนพร้อมๆ กันขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมเกรงว่าพวกท่านจะไม่มีบ้านเมืองให้อยู่เชิดหน้าชูคอกันสลอนเหมือนที่เป็นอยู่นะครับท่าน.
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น