คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
การพาเหรดมาเยือนภูเก็ตของคณะทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นับเป็นประวัติการณ์ที่ไม่เคยปรากฏ ประเดิมด้วยเอกอัครราชทูตประเทศจีน ตามด้วยเอกอัครราชทูต และนักการทูตระดับสูงจากสหภาพยุโรป 18 ประเทศ ที่ส่งโปรแกรมนัดสื่อแถลงข่าวล่วงหน้ามาก่อนเป็นสัปดาห์ จากนั้นก็เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ตามลำดับ
ทุกประเทศที่มาต่างได้พบผู้ว่าราชการจังหวัด “ไมตรี อินทสุต” อย่างเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันคือ ให้แก้ปัญหาที่เกิดกับนักท่องเที่ยวของเขาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เข้าลักษณะ.... ช่างแม่งมัน!
เท่ากับเป็นการแจ้งเตือนว่า ภูเก็ตขณะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่กำลังวิกฤตด้วยสารพัดปัญหา เต็มไปด้วยอันตรายนานาชนิด ที่ไม่ใช่เกิดจากความไม่สงบ หรือปัญหาทางการเมือง
แต่เป็นภัยทางสังคม ที่จังหวัด หรือท้องถิ่นแก้ไขให้เบ็ดเสร็จไม่ได้ นักท่องเที่ยวต้องระวัง และช่วยตัวเอง ตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน ออกจากแอร์พอร์ตไปจนถึงโรงแรมที่พัก รวมทั้งขณะท่องเที่ยว หรือชอปปิ้ง อย่างเช่น ถูกหลอกลวงขูดรีดจากแท็กซี่ แม้มีราคาแจ้งไว้แล้ว แต่ไม่มีใครปฏิบัติ ภัยบนท้องถนนที่ใช้รถใช้ถนนอย่างไม่มีกติกา หรือสินค้าปลอมละเมิดลิขสิทธิ์ ที่วางขายเกลื่อนล้วนแบรนด์ดังทั้งสิ้น
นักท่องเที่ยวที่เขามาบ้านเรา มาภูเก็ตหลังจากเกิดคลื่นยักษ์ “สึนามิ” เมื่อปี 2547 ก็ด้วยการที่เรายกโขยงไปโรดโชว์อวดสรรพคุณของสถานที่ท่องเที่ยวฝั่งอันดามันที่เลิศหรูหลังการฟื้นฟู การบริการ การต้อนรับที่ประทับใจ เหมาะแก่การพักผ่อน และหาความสุข ตลอดระยะ 8-9 ปี ทุ่มเทกันอย่างถี่ยิบ อบจ.ภูเก็ต ก็จัดงบหนุนชนิดไม่อั้น และต้องหิ้วทั้งสื่อทั้งข้าราชการบนศาลากลางไปด้วยทุกนัด
แต่เมื่อนักท่องเที่ยวของเขามาแล้ว และได้สัมผัส กลับตรงกันข้ามหน้ามือเป็นหลังมือ
บางรายเจอปัญหาต้องติดต่อสายตรงขอความช่วยเหลือจากสถานทูต ให้ช่วยเหลือ และส่งกลับภูมิลำเนาในสภาพสะบักสะบอม เจ็บช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ทรัพย์สินเงินทองก็ถูกหลอก ถูกโกง ถูกปล้นจี้หมดสิ้น
ประทับใจครับ ประทับใจไปจนตายกับเหตุการณ์ที่เขาได้รับจากภูเก็ต และอาจจะมีการบอกต่อปากต่อปากว่า ภูเก็ตเป็นเมืองเถื่อนอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยว
ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ เอกอัครราชทูต หรือนักการทูตระดับสูงของประเทศต่างๆ กว่า 20 ประเทศคงไม่ลงมาหาข้อมูล และดำเนินการด้วยตัวเองอย่างแน่นอน เพราะมีกงสุลประเทศต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งอยู่ในพื้นที่หลายประเทศคอยเป็นหูเป็นตาอยู่แล้ว
จากข่าวที่สื่อทุกแขนงเสนอ กงสุลเหล่านั้นก็มิได้นิ่งดูดาย เข้าพบชี้แนะผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนที่ย้ายมา แจ้งข้อมูลปัญหาให้ทราบบ่อยครั้ง เสนอประเด็นให้แก้ไข และให้เข้มในกฎหมาย แต่ก็เหมือนเป่าปีให้ควายฟัง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เอกอัครราชทูต รวมทั้งนักการทูตระดับสูงกว่า 20 ประเทศเหล่านั้น ที่เดินทางเข้ามาก็ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันคือ จี้ให้ทางพื้นที่เร่งแก้ไขสารพัดปัญหาที่เกิดกับนักท่องเที่ยวโดยเร็วและจริงจัง
มาดูข้อเรียกร้อง เอาเฉพาะของเอกอัครราชทูต และนักการทูตระดับสูงจากสหภาพยุโรป 18 ประเทศ ยื่นเงื่อนไขให้ทางจังหวัดภูเก็ตดำเนินกาโดยเร่งด่วน 7 ข้อต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเท่ากับ
เป็นการตบหน้าสั่งสอนนั่นแหละ
ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งฝ่ายบริหารบ้านเมืองจะรู้สึกตัวหรือไม่? เอามาคิดทำการบ้านหรือเปล่า? เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว เห็นหลังจากนั้นมาก็เอาแต่เฉไฉสร้างภาพ เล่นละคร ลิเก เป็นตัวตลก แต่งงานบาบ๋าสนุกสนานเถิดเทิงกันทั้งเมือง
ลองมาอ่านคำแถลงของท่านทูตสหภาพยุโรปที่ออกเป็นทางการ แล้วส่งผ่านทางอีเมลให้ผม และน่าจะให้สื่อต่างๆ ด้วย ชนิดทั้งแท่ง ไม่ได้ขัดเกลาเสริมแต่ง เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2556 ที่ผ่ามา ดังนี้
“คำแถลงนี้ออกในนามของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป”
เอกอัครราชทูต และผู้แทนจาก 18 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เยือนจังหวัดภูเก็ตอย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน 2556 โดยคณะทูตและผู้แทนได้เข้าพบ นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ข้าราชการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กงสุลกิตติมศักดิ์ และบริษัทธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัด
นักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปนั้น นับเป็นอัตราส่วนที่ใหญ่ เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางมายังจังหวัดภูเก็ต อีกทั้งยังมีอัตราการจับจ่ายใช้สอยสูง จึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น นักท่องเที่ยวเหล่านี้ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และมีความปลอดภัยในขณะเดินทางท่องเที่ยว ทางสถานเอกอัครราชทูตของกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปอยากเห็นการดูแลนักท่องเที่ยวดังต่อไปนี้
- ระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ และค่าบริการที่เป็นธรรมสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่อาศัยในจังหวัดภูเก็ต
- ยุติพฤติกรรมรุนแรง และข่มขู่จากคนขับรถแท็กซี่ และรถตุ๊กตุ๊กบางคน
- บังคับใช้มาตรการความปลอดภัยทางทะเลอย่างเข้มงวด รวมถึงการปักธงบนชายหาด เพื่อระบุเขตปลอดภัยสำหรับการว่ายน้ำในทะเล
- มีการบังคับใช้กฎระเบียบการปฏิบัติตนของเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเคร่งครัด รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในจังหวัดรู้สึกปลอดภัย และได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม โดยปราศจากการใช้อำนาจในทางมิชอบ
- ยุติปัญหาการหลอกลวงที่เกี่ยวกับการเช่าอุปกรณ์ และพาหนะต่างๆ เช่น เจ็ตสกีและจักรยานยนต์
- บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างเคร่งครัด
- ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบคุณภาพน้ำ
สถานเอกอัครราชทูตของกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปในกรุงเทพฯ เชื่อว่าประเด็นปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้าง ทั้งในหมู่นักการทูต และชาวต่างชาติในประเทศไทย
ครับ,... อ่านกันแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ ท่านผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย รวมทั้งผู้ประกอบการทุกท่าน หรือว่า
“ด้านจนไร้ยาง”
แย่มาก.... แสดงให้เห็นว่า ภูเก็ตไข่มุกอันดามันที่เราเคยภาคภูมิใจในอดีต ปัจจุบันถูกคนจัญไรเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำ จนไม่เหลือดีให้เห็น แม้กระทั่งคนในพื้นที่เองหลายคนยังถูกล้างสมอง ถูกชักจูงให้เป็นคนระยำ เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวไปด้วย
ทางแก้นั้นน่าจะยังมีอยู่ ถ้าคนภูเก็ตไม่กลัวอิทธิพลของกลุ่มมาเฟีย คนในเครื่องแบบ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจระดับไหน หรือผู้ว่าราชการจังหวัด บุคคลเหล่านั้นล้วนเป็นแค่ลูกจ้างประชาชน ลูกจ้างของพวกเราที่เสียภาษีให้เขา เลี้ยงดูเขา
ส่วนพวกนักลงทุน บางคนน่าจะเรียกว่านายทุนหน้าเลือดด้วยซ้ำ ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ขนาดย่อม หรือแท็กซี่ป้ายเหลือง ป้ายดำ ที่พวกจรจัดร้อยพ่อพันแม่เอามาขับรับส่งเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว รวมทั้งพ่อค้าแม่ขายทั้งในห้าง นอกห้างริมฟุตปาธส่วนใหญ่ เป็นนักขุดทองที่มามือเปล่า มาสร้างฐานะร่ำรวยบนเกาะภูเก็ตทั้งสิ้น
พวกสถุลเหล่านี้ เราชาวภูเก็ตต้องช่วยกันตรวจสอบต่อต้าน ส่วนนักท่องเที่ยวดีๆ เราต้องช่วยกันดูแล ถ้าพวกห่วยแตก กักขฬะก็ถอยห่าง หรือขับไล่ไสส่งไป ปัจจุบันบ้านเรายางพาราไม่มีแล้ว พวกอีสานเอาไปหมด ปาล์มก็ไม่มี แร่ดีบุกก็เป็นแค่ก้อนหินก้อนกรวด ทั้งไม่มีสิทธิที่จะขุดได้อีก ที่เห็นๆ กันอยู่ก็ธุรกิจท่องเที่ยวนี่แหละ แม้จะเป็นมหาภัยของสิ่งแวดล้อม ก็ต้องช่วยกันประคองเท่าที่ทำได้
เมืองไทยประชาธิปไตยครับ ประท้วงไล่รัฐบาลยังประท้วงได้ นับประสาอะไรกับข้าราชการขี้ครอก นักลงทุนจัญไร รวมทั้งพวกต่างชาตินักฉวยโอกาส ที่เข้ามากอบโกยเอารัดเอาเปรียบในบ้านเราเมืองเรา จะปล่อยให้ลอยนวลทำไม?
ในสายตาของนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งที่รอดปลอดภัยกลับไป เขาเห็นว่าขณะนี้ภูเก็ตไม่ต่างจาก “กะหรี่” เน่าๆ ที่เขามาถ่มถุยใส่จนสะใจ แล้วก็จากไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์
ลองมาลำดับกันดู ตลอดเดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ทยอยกันมาไม่ขาดสาย ทูตจีนเดินทางเข้ามาเมื่อต้นเดือนหลังจากที่มีข่าวแท็กซี่ป้ายดำสนามบินลวนลามนักศึกษาสาวที่กล้าหาญชาญชัยบินเดี่ยวเข้ามาทัศนศึกษาในภูเก็ต
ต่อจากนั้น เอกอัครราชทูต และนักการทูตระดับสูงจากสหภาพยุโรปก็ยกโขยงกันมาเป็นกองทัพ ดูพื้นที่ แยกย้ายกันหาข้อมูล สัมผัสความเป็นจริงของเกาะภูเก็ต แล้วประชุมหารือกัน ทั้งก่อนหน้าและหลังพบผู้บริหาร ผู้ปกครองเมืองภูเก็ต แล้วก็ออกแถลงการณ์ดังกล่าวข้างต้น
คล้อยหลังคณะทูตจากสหภาพยุโรป ก็ตามมาด้วยเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ท่านคริสตี เคนนีย์ ยอดหญิงนักการทูตมากความสามารถ รายนี้บุกถึงรังใหญ่ตำรวจภูเก็ต ดูสมรรถนะ เพราะเป็นหน่วยงานเจ้าปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรม ดูเหมือนจะมีปัญหาขมขู่รีดไถนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันด้วย ท้องที่ไหน สภ.ไหนไม่ยืนยัน ท่านคริสตี ไม่บอกเสียด้วย ก่อนเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัด
ตำรวจพื้นที่ทุกหน่วยควรพิจารณาตัวเอง ไม่ใช่สีขาว แต่ “มือสกปรก”
ต่อจากเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ก็เป็นเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ที่นักท่องเที่ยวแดนจิงโจ้มากหน้าหลายตาต้องมาประสบกับปัญหาทางฝั่งอันดามันบ่อยครั้ง หนักสุดถึงขั้นปล้นจี้ และข่มขืน พอถึงโรงพักก็ถูกตำรวจขู่ และไม่ให้ความเป็นธรรมอีก
มาทางผู้ว่าฯ ไมตรี หลังจากแขกเหรื่อกลับไปก็จ้อกับสื่อว่า ทุกข้อ ทุกกรณีที่ท่านทูตทั้งหลายแจ้งมานั้น รู้แล้ว... ทราบแล้ว และได้พิจารณาแก้ไขไปแล้ว แต่ยังไม่เต็มร้อย บางส่วนกำลังดำเนินการอยู่ โดยให้ผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่ายไปทำกัน มีการตั้งคณะกรรมการ ตั้งคณะทำงาน ตั้งชุดเฉพาะกิจ สารพัดชุดขึ้นมาจัดการแก้ไข
แต่คณะต่างๆ เหล่านั้น ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อสรุปเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อทราบ เพื่อหารือ จะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป เมื่อเอามาดูเจอทั้งตอ เจอทั้งกำแพงหน้าบ้าน หลังบ้าน ทั้งผู้มีพระคุณ นักการเมืองที่ให้คุณให้โทษ ขืนทำรุ่มร่าม ถูกเก็บเข้ากรุ ต้องแคะกระปุกวิ่งเต้นอีก ถ้าอายุขึ้นด้วยเลข 5 กว่าจะถอนทุนคืนก็หืดขึ้นคอ
หน้าที่การงานของผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น อยู่ในจังหวัดที่รับผิดชอบ ต้องดูแล ต้องปกครองบ้านเมืองให้สงบสุข แก้ปัญหาให้ประชาชน ไม่ใช่หนีม็อบ ไม่ใช่ไปโรดโชว์ ไปขายทัวร์ในต่างประเทศ นั่นมันงานของบรรดาผู้ประกอบการ พวกมันจะไปเร่ขายอะไรก็เรื่องของมัน ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ว่าฯ
มาทางด้านผู้ประกอบการ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ตตอนนี้ คุณโอเลี้ยง-พงศ์อนันต์ สุวัณณาคาร เป็นนายกสมาคม ผมไม่คุ้นเคย แต่ผมคุ้นเคยกับพี่พูนเพิ่ม สุวัณณาคาร บุรุษเหล็กของวงการท่องเที่ยวยุคบุกเบิกเปิดบริสุทธิ์เกาะภูเก็ต
ขอพี่สู่สุคติเถิด ถ้าพี่อยู่พี่คงเหนื่อยกว่าเก่า แต่ก่อนคิดแต่จะหานักท่องเที่ยวที่มีระดับสูงกว่าพวกฮิปปี้ผมยาว นุ่งกางเกงขาก๊วย ใส่รองเท้าแตะเข้ามา แต่... ณ วันนี้มันหนักกว่าหลายเท่าตัว ต้องสร้างภาพ ต้องย้อมแมวกันแล้ว
ภูริต มาศวงศา อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวฝ่ายตลาดต่างประเทศ บอกว่า จังหวัดภูเก็ตได้รับการโหวตเป็นเมืองท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนดีเด่นแห่งเอเชีย รับรางวัล “The Most Relaxing Tour in Asia” ในงาน “ITE & MICE EXPRO HongKong 2013” ครั้งที่ 27 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 มิ.ย.2556 ที่ศูนย์ประชุม และแสดงนิทรรศการ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง
เป็นช่วงเดียวกับที่ทูตประเทศต่างๆ แห่กันมาโวยความเถื่อนของเมืองภูเก็ต กระฉ่อนกันไปทั้งโลกในโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือสังคมชาวโลกแห่งอินเทอร์เน็ต แต่อีกส่วนหนึ่งของโลกกลับเห็นความเน่าของภูเก็ตเป็นเรื่องที่น่าอภิรมย์ชมชอบ
ฮ่องกงผมไม่เคยไปสัมผัส เชิงลึกเป็นยังไงนั้นไม่ทราบ เท่าที่รู้และดูจากข่าว อ่านจากหนังสือ ฮ่องกงก็ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวทีดีนัก เป็นเมืองชอปปิ้ง เมืองมาเฟีย เต็มไปด้วยอิทธิพลนานาชนิด ทั้งบ่อนการพนัน และโสเภณี
เป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกสำหรับความแตกต่างของข่าวดังกล่าว ใครจะสร้างภาพยังไง แบบไหน ก็ทำไป ความเป็นจริงก็ต้องเป็นจริง พิสูจน์ได้ในตัวของมันเอง นักท่องเที่ยวก็ใช่ว่าจะดีหมดทุกคน ทุกกลุ่ม ต่างมาเที่ยวก็ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
ที่มาเพื่อต้องการพักผ่อนจริงๆ มาเป็นครอบครัวก็ต้องการความสงบ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน แต่อีกกลุ่มมาเพื่อความสนุกเสเพล กินเหล้าเมายา เข้าผับเข้าบาร์ หากะหรี่เปลี่ยนรสชาติที่มีอยู่เต็มเมืองภูเก็ต ทุกซอกทุกมุม อันนี้ไม่ต้องโรดโชว์ ดังก้องโลกอยู่แล้ว
อนาคตภูเก็ตจะรับนักท่องเที่ยวแบบไหน ก็น่าจะเป็นหน้าที่ของ “สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจับฉ่าย ภูเก็ต” จะหาวิธีคัดกรองอย่างไร ที่ไม่ใช่สร้างภาพ และโรดโชว์เท่านั้น
จะทำ จะแก้อย่างไร จะเอาแบบไหน ก็รีบทำเสีย ไม่ต้องไปหวังพึ่งเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทำได้แค่ “ปัดสวะ” ให้พ้นตัว ถ้ายังปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ เมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่เงี่ยนกันนัก ตอนนั้นประตูบ้านเปิดเสรีแล้วน่าจะเละยิ่งกว่าจับฉ่าย