คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ผู้เขียนห่างหายไปจากคอลัมน์นี้หลายสัปดาห์ เนื่องจากประสบปัญหาบางประการในการนำเสนอข้อเขียนให้มีความต่อเนื่องกับข้อเขียนชิ้นก่อนหน้านี้ ต้องขออภัยผู้อ่านที่รอติดตามความเป็นไปในการเดินทางไปอินโดนีเซียคราวนั้น
ขณะบทความชิ้นนี้เผยแพร่ ผู้เขียนกำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในมาเลเซียท่ามกลางบรรยากาศการเลือกตั้ง และอินโดนีเซียเพื่อไปยังสถานที่ที่ต้องการไปในคราวก่อน แต่ไปไม่ถึง คราวนี้ผู้เขียนเดินทางพร้อมกรุ๊ปทัวร์เพื่อนพ้องน้องพี่ของพี่ครื่น มณีโชติ พร้อมบุญเลิศ จันทระ ที่ต้องการไปเก็บข้อมูลเรื่องกริช ผู้เขียนใช้เงินส่วนตัวเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ไม่เหมือนบุคลากรมหาวิทยาลัยทักษิณอีกกลุ่มหนึ่งที่ออกเดินทางไปดูงานด้านพิพิธภัณฑ์ที่เวียดนาม เพื่อนำมาพัฒนาพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยาที่สถาบันทักษิณ แต่คนส่วนใหญ่ที่ไปกลับไม่ใช่บุคลากรของสถาบันทักษิณ (มีแต่ ผอ.และรอง ผอ.ที่ได้ไป) แม้แต่หัวหน้าสำนักงานสถาบันทักษิณฯ ก็ไม่ได้ไปทั้งๆ ที่เป็นแม่งานคนสำคัญ (มากกว่า ผอ.และรอง ผอ.เสียอีก) คนที่ไปกลับเป็นบุคลากรฝ่ายแผนงาน พัสดุของมหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิบางคนจากสภามหาวิทยาลัย คณบดีสองคน ทั้งหมดล้วนเป็นก๊วนเดียวกันกับรองอธิการบดีที่กุมถุงเงินมหาวิทยาลัยที่ร่วมเดินทางไปด้วย โดยใช้เงินงบกลาง (เงินที่ได้จากค่าหน่วยกิตของนิสิต) เรียกว่า “คนที่ทำไม่ได้ไป แต่คนที่ไปไม่ได้ทำ” นี่คือพฤติกรรมอันน่ารังเกียจที่หลายคนในกลุ่มนี้ทำมาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะกับงบประมาณของสถาบันทักิณคดีศึกษา
วันก่อนที่เราไปตกระกำลำบากในจาการ์ตา เพราะไปไม่ทันเช็คอินขึ้นเครื่องบิน ทั้งๆ ที่ไปถึงสนามบินมากกว่า 30 นาทีก่อนเครื่องบินถึงกำหนดเวลาบิน เนื่องจากรถติดเพราะ รมต.คมนาคมใช้เส้นทางเดียวกับที่เราจะไปยังสนามบิน และตอนขาไปเราใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที แต่วันนั้นใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เมื่อไปถึงเคาน์เตอร์เช็คอินเจ้าหน้าที่บอกว่าปิดรับการเช็คอินแล้ว โดยไม่ยอมช่วยเหลือใดๆ ถ้าเป็นบ้านเราเวลาอีกเกือบ 30 นาทีกว่าเครื่องบินถึงกำหนดบินคงไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง
เมื่อพลาดจากการขึ้นเครื่องบินไปยอร์กยาการ์ตาตอน 6 โมงเย็น เราก็หวังว่าอาจจะมีรถไฟ ไม่ก็รถประจำทาง จึงขึ้นรถประจำทางจากสนามบินไปยังสถานีรถไฟ เมื่อไปถึงปรากฏว่าไม่มีตั๋วเดินทางเลยในช่วงสองสามวันนี้ เนื่องจากเป็น “วันแดง” คือวันปิดเทอม มีการเดินทางไปยังเมืองหลัก ครั้นไปถามหาเที่ยวรถประจำทางปรากฏว่า รถเที่ยวก่อนหกโมงเย็นออกเดินทางไปแล้ว แม้คนโดยสารไม่มากพอจะเดินทาง แต่คันถัดมาถึงเวลาพอดี แต่ไม่ยอมออกเดินทางเพราะคนโดยสารน้อยเกินไป และมีคนแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ควรเดินทางโดยรถประจำทางของอินโดนีเซีย เพราะมักจะมีปัญหาระหว่างทางและมักจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง
เราเลยต้องติดแหง็กอยู่ที่จาการ์ตา ไปไหนไม่ได้ตลอดทั้งสัปดาห์ สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินทางกลับมาตั้งหลักใหม่ที่เมืองไทย โดยจองตั๋วเครื่องบินมาลงสิงคโปร์ เที่ยวถึงสิงคโปร์ประมาณหกโมงเย็นหรือหนึ่งทุ่มของสิงคโปร์ วันนั้นเรามาถึงสนามบินก่อนเวลา แต่ก็เกือบพลาดท่าตกเครื่องบินอีก เพราะหนึ่งเราเข้าใจว่าท่าอากาศยานผู้โดยสารขาออกในประเทศกับต่างประเทศอยู่ที่เดียวกันเหมือนบ้านเรา แต่ที่ไหนได้มันอยู่ห่างกันร่วมกิโลเมตร ดีที่เพื่อนผู้นำทางถามเด็กรถบัสเสียก่อน เมื่อถึงสนามบินเรารีบเช็คอิน ปรากฏว่าผู้เขียนกับบุญเลิศได้รับตั๋วเดินทางให้ไปขึ้นเครื่องคนละประตูกับเพื่อนร่วมทางอีกสามคน เมื่อเราไปถึงถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมเรามากันห้าคน จองตั๋วพร้อมกัน โดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกัน ลำเดียวกัน แต่กลับให้มาขึ้นเครื่องคนละประตูและอยู่ห่างกันมาก ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่โทรไสอบถามยังเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน แล้วบอกให้เราไปขึ้นประตูเดียวกับเพื่อนอีกสามคน เนื่องจากเจ้าหน้าที่เช็คประตูผิด
เราต้องรีบแต่งตัวเพราะการสแกนผ่านทางเพื่อไปขึ้นเครื่องของสิงคโปร์กวดขันเคร่งครัดมาก ต้องถอดรองเท้า เข็มขัดด้วย รีบวิ่งไปยังประตูที่เขาบอก ซึ่งห่างกันเกือบกิโลเมตร และต้องผ่านการสแกนเคร่งครัดเหมือนเดิม ดีที่เราสอบถาม ไม่งั้นคงตกเครื่องบิน เพราะเจ้าหน้าที่ให้ไปขึ้นเครื่องบินคนละประตูกับเพื่อนร่วมทาง
ปรากฏว่าพอเรามาก่อนเวลาเครื่องบินออกบิน เครื่องบินกลับดีเลย์เป็นชั่วโมงกว่าจะออกบินได้ น่าเจ็บใจจริงๆ กว่าจะออกบินได้คนโดยสารต้องโบกพัดกันว่อนทั้งลำ เพราะอากาศค่อนข้างอบอ้าว
วันนั้นเราถึงสนามบินสิงคโปร์มืดค่ำแล้ว นั่งรถไฟความเร็วสุงไปยังสถานีขนส่งรถประจำทางเพื่อหารถกลับหาดใหญ่ เมื่อไปถึงปรากฏว่ารถไปหาดใหญ่ออกจากท่าไปหมดแล้ว เหลือแต่รถไปกัวลาลัมเปอร์กับปีนัง เราตัดสินใจไปปีนัง เพราะมันใกล้หาดใหญ่กว่ากัวลาลัมเปอร์ และพอดีมีที่นั่งว่างมากพอสำหรับห้าคน
คืนนั้นเราต้องรีบกินข้าวมื้อค่ำเพื่อให้ทันขึ้นรถตอนสี่ทุ่ม พอดีมีร้านอาหารไทยอยู่ใกล้ๆ ท่ารถทัวร์ แต่ราคาค่อนข้างแพง และเราไม่มีเงินสิงคโปร์ มีแต่เงินไทย จึงตัดสินใจให้เพื่อนผู้นำทางซึ่งเป็นมุสลิมวิ่งไปแลกเงินสิงคโปร์ เราสั่งอาหารไทยประเภทข้าวผัดกระเพราหมูและแกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ ไข่เจียวมากินกันอย่างเร่งรีบ ค่าอาหารมื้อนั้นเกือบพันบาท
เราหลับๆ ตื่นมาในรถตลอดทั้งคืน มาถึงบัตเตอร์เวอร์ธตอนเช้าพอดี หลังจากจองตั๋วรถตู้เรียบร้อยแล้ว รถจะออกมารับเราประมาณเก้าโมง เราจึงใช้เวลาที่เหลือกินมื้อเช้าอำลามาเลเซีย เดินทางถึงหาดใหญ่ก่อนเที่ยง แต่ไม่ทันมื้อเที่ยงเชงเม้งที่ท่านางหอมตามที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ดีใจที่กลับถึงหาดใหญ่ด้วยความปลอดภัย แม้ว่าจะเหนื่อยเพลียจนหลับเป็นตาย
บทสรุปจากการเดินทางครั้งนี้คือ การเดินทางแบบไปตายเอาดาบหน้า และไม่มีข้อมูลที่จำเป็นเป็นเรื่องที่อันตราย และทำให้ประสบชะตากรรมอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น และที่สำคัญไม่มีบ้านไหนเมืองไหนจะเหมาะกับเราเท่ากับเมืองไทย เพราะเรามีความเคยชินทั้งภาษา อาหารการกิน นิสัยใจคอ สภาพอากาศ และแม้แต่ปลั๊กไฟฟ้า ไทย-มาเลเซีย-อินโดนีเซียเสียบกันไม่ลงแม้แต่ประเทศเดียว ไม่น่าเชื่อแล้วเราจะร่วมอะไรกันได้ (นอกจากร่วมเพศ)