xs
xsm
sm
md
lg

ไปล้างพิษตับ และชาร์จแบตชีวิตที่ “หนำไพรวัลย์” เมืองนครฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย...มานพ ชูแสง

“อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ”

แน่นอน ความไม่มีโรคเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนถวิลหา หากแต่เราจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อสภาวะโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยมลพิษที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์เอง จึงมีผู้คิดค้นเริ่มคิดวิธีป้องกันการเจ็บป่วยของร่างกาย อันมีหลากหลายวิธีการแตกต่างกันไปตามแต่ที่ใครจะศึกษาหากันมาได้

ข้อเขียนชิ้นนี้ผมเพียงอยากจะบอกเล่าประสบการณ์ดีๆ ที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสมา โดยอยากให้ท่านผู้อ่านรู้จักโรคนิ่วในถุงน้ำดี และวิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดกันก่อน

นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจาก ตับ (liver) เป็นอวัยวะสร้างน้ำดี ซึ่งจะส่งไปเก็บที่ถุงน้ำดี เมื่อต้องการไปย่อยไขมัน ถุงน้ำดีก็บีบตัวส่งน้ำดีไปตามท่อน้ำดี (common bile duct) เข้าสู่ลำไส้ (doudenum) และย่อยอาหาร น้ำดีประกอบด้วย น้ำ, cholesterol, ไขมัน (bile salt) เมื่อน้ำในน้ำดีลดลงก็ทำให้เกิดนิ่ว พบบ่อยๆ มี 2 ชนิดคือ นิ่วที่เกิดจาก cholesterol และนิ่วที่เกิดจากเกลือต่างๆ นิ่วในถุงน้ำดีอาจจะหลุด และอุดทางเดินน้ำดี ทำให้เกิดตัวเหลือง ตาเหลือง ถุงน้ำดีอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น

อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี ผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่มีอาการอะไร บางรายมีอาการปวดเฉียบพลัน ปวดท้องบนขวา ปวดตลอด อาจจะปวดนานเป็นชั่วโมง การปวดมักจะปวดอยู่บริเวณสะบัก อาจจะปวดร้าวไปไหล่ขวา มีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย บางรายอาจจะมีอาการเรื้อรัง โดยมากมักจะสัมพันธ์กับอาหารมัน อาการอื่นที่พบมีท้องอืด รับประทานอาหารมันแล้วทำให้ท้องอืด ปวดมวนท้อง เรอเปรี้ยว มีลมในท้อง อาหารไม่ย่อย

วิธีการรักษาทางการแพทย์ปัจจุบันนั้น นิ่วในถุงน้ำดีที่ไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด นิ่วที่มีอาการต้องผ่าตัดเอานิ่วออก วิธีทีนิยมคือ (laparoscopic cholecystectomy) โดยการเจาะที่หน้าท้องเป็นรูหลายรู แล้วใส่เครื่องมือเพื่อตัดเอาถุงน้ำดีออกมา วิธีนี้สะดวก เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเก่า และอยู่ในโรงพยาบาลไม่นาน ผู้ป่วยบางรายหลังส่องดูแล้วผ่าตัดแบบ (laparoscopic cholecystectomy) ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนโดยการผ่าตัดแบบเก่า

นิ่วที่อยู่ในท่อน้ำดีอาจจะเอาออกโดยการทำ Endoscopic retrograde cholangiopancreatography (ERCP) และเอานิ่วออก

ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งเป็นวิธีของการรักษานิ่วในถุงน้ำดี เป็นแบบธรรมชาติบำบัดคือ “การล้างพิษตับ หรือถุงน้ำดีแบบชาวสันติอโศก” บ้างคนอาจจะรู้จักกันมาบ้างแล้ว และหลายคนสงสัยว่าในภาคใต้ก็มีค่ายล้างพิษตับ หรือคอร์สล้างพิษตับแล้วแต่จะเรียกกันไป คำตอบคือ มีหลายแห่งทีเดียวครับ และกระจายอยู่ในหลายจังหวัด แล้วก็มีทั้งแบบจัดกันในรีสอร์ตหรู หรือตามวัดวาอารามต่างๆ บางคอร์สมีค่าใช้จ่ายหลายพัน หรืออาจถึงหมื่นบาท บางคอร์สก็หลักร้อย หรือพันต้นๆ ตามแต่ผู้จัดว่ามีวัตถุประสงค์ใด แต่จัดได้ว่าเกือบทั้งหมดไม่ใช่เพื่อการค้า

ประสบการณ์ที่ผมขอนำมาบอกเล่าก็คือ คอร์สล้างพิษตับท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งเพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 3-6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง ที่รีสอร์ตที่มีชื่อว่า “หนำไพรวัลย์” หลายคนคงคุ้นๆ หูกันบ้างแล้ว รีสอร์ตแห่งนี้ตั้งอยู่บ้านปากลง หมู่ที่ 6 ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช บริหารโดย อำไพย์ ถาวระ หรือ พี่ไพย์ ซึ่งเป็นการนำเอาคอร์สล้างพิษตับจากตำรับของบ้านลุงจำลอง ศรีเมือง หรือจากโรงเรียนผู้นำที่ จ.กาญจนบุรี มาเปิด โดยก่อนที่จะเปิดก็ได้พาทีมงานไปศึกษาเรียนรู้ที่บ้านลุงจำลองอยู่นานพอสนควร

วันแรกของการเข้าคอร์สล้างพิษตับ นับเวลาเริ่มจากช่วงบ่าย 3 โมงเย็น หรือ 15.00 น. เป็นต้นไป ทุกคนต้องหยุดรับประทาน รวมถึงของขบเคี้ยวด้วย ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเปล่าได้เท่านั้น โดยไปรวมพลกันที่ห้องประชุม เมื่อลงทะเบียนกันเสร็จสรรพทางทีมผู้จัดก็แนะนำวิธีสวนลำไส้ระบายพิษ หรือที่มักเรียกกันว่าการทำดีท็อกซ์ แนะนำวิทยากร และขั้นตอนต่างๆ ช่วงเย็นวันนั้นก็มีการให้รับประทานสมุนไพรระบายพิษชำระเมือกมันด้วย

วันที่ 2 ทุกคนตื่นตีห้าครึ่งพร้อมๆ กัน เริ่มภารกิจในเช้าของวันด้วยการสวนลำไส้ระบายพิษด้วยน้ำด่างสมุนไพร อมน้ำมันมะพร้าวกลั้วปากกลั้วคอเพื่อกำจัดแบคทีเรีย และเชื้อโรคต่างๆ ประมาณ 20 นาที แล้วบ้วนทิ้ง ห้ามกลืนลงท้อง จากนั้นออกกกำลังกายเล็กน้อย แล้วต่อด้วยนั่งเรียงกันแช่มือ และเท้าด้วยน้ำสมุนไพรเพื่อขับพิษ ซึ่งทำไปพร้อมๆ กับดื่มน้ำชาสมุนไพรข้าวกล้องงอกให้ได้ 5 แก้วเป็นอย่างน้อย ตามด้วยการพอกหน้าด้วยสมุนไพรอีกเช่นกัน



ตลอดทั้งวันส่วนใหญ่จะรวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุม มีกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการล้างพิษด้วยธรรมชาติบำบัดหลากหลายรูปแบบ ใครใคร่พักผ่อน หรือนวดตัวก็แล้วแต่ถนัด มีน้ำสมุนไพรให้ดื่นกินกันหิว ก่อนที่ช่วงเย็นจะให้หยุดดื่มน้ำทุกชนิด 30 นาที หลังจากนั้นดื่มน้ำสมุนไพรผสมลิดท็อกซ์เพื่อกวาดล้างเอาเศษอุจจาระที่ติดตามผนังลำไส้ออกให้หมด ก่อนกลับเข้าห้องพักทำดีท็อกซ์อีกครั้ง แล้วก่อนเข้านอนจะได้รับประทานยาระบายพิษชำระเมือกมัน

ต้องขอบอกว่า บางคนจะมีอาการซ่านพิษหลังจากเริ่มทำดีท็อกซ์ครั้งแรกเลยก็ได้ บางคนอาจจะเกิดอาการวันที่สองหรือสาม หรืออาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ สำหรับผู้ที่มีอาการซ่านพิษก็อาจจะแสดงออกด้วยการอ่อนเพลีย ปวดหัว โดยทางหนำไพรวัลย์จะเตรียมหมอแผนไทย และหมอนวดแผนโบราณไว้คอยให้การช่วยเหลือตลอด โดยจะอยู่กับผู้ที่เข้าคอร์สล้างพิษตลอดตั้งแต่เริ่มจนจบ

วันที่ 3 ก็จะทำภารกิจทำคล้ายกันกับวันที่ 2 แต่จะมีการเพิ่มโปรแกรมทานน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวในช่วงเวลาค่ำ เพื่อทำให้เกิดกระบวนการกระทุ้งนิ่ว รวมถึงไขมันที่พอกอยู่ออกจากถุงน้ำดีและตับ ขั้นตอนตรงนี้ สำหรับผู้ที่มีอาการป่วยไม่ควรทำเอง เพราะบางคนจะมีอาการซ่านพิษแบบรุนแรง ซึ่งในทุกๆ คอร์สที่จัดขึ้นจะมีผู้ชำนาญค่อยให้การช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา หากผ่านช่วงคืนวันที่ 3 นี้ไปได้ก็ถือว่าครบถ้วนกระบวนความของการล้างพิษตับแล้วนั่นเอง

วันที่ 4 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเข้าคอร์ส ยังคงตื่นนอนแล้วทำการสวนล้างลำไส้ หรือดีท็อกซ์เช่นเคย แต่สิ่งที่ออกมาจากร่างกายเราหลังจากรับประทานน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวไปนั้น ทุกคนจะเก็บใส่ถังปิดฝาไว้เป็นอย่างดี ของใครของมันแล้วก็ต้องดูแลรักษาเสมือนทรัพย์ล้ำค่า เพื่อนำไปให้วิทยากรตรวจและวิเคราะห์ว่าพบอะไร หรือมีอะไรออกมาจากร่างกายเราบ้าง บางมีนิ่ว และก็หลากหลายขนาดออกมาโชว์ มีไขมัน มีน้ำมันขี้โล้ หรือแม้กระทั่งเซลล์มะเร็ง เป็นต้น ซึ่งนั่นจะนำไปสู่การข้อแนะนำการใช้ชีวิตต่อไปด้วย ก่อนที่จะจบลงด้วยอาหารเที่ยง ซึ่งถือเป็นมื้อแรกหลังจากที่ไม่ได้กินอาหารที่มีกากมาประมาณ 3 วันเต็มๆ จากนั้นก็ถือว่าจบคอร์ส

พอจะเห็นภาพขั้นตอนคอร์สล้างพิษตับกันแล้วนะครับ จากประสบการณ์ในครั้งนี้ผมได้เก็บเอาทัศนะของวิทยากร และผู้เข้าร่วมคอร์สล้างพิษตับที่หนำไพรวัลย์คนอื่นๆ มาฝากด้วย

สมชาย ศรีไทย วิทยากร และผู้รับใช้ดูแลคอร์สล้างพิษตับ กล่าวว่า การเข้ามามีส่วนร่วมของตนเกิดจากได้ไปเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ และรู้จักสันติอโศก ต่อมาได้ไปศึกษาการล้างพิษตับเป็นโครงการลักษณะเพื่อช่วยเหลือผู้คน และก็มีจิตอาสาเข้าร่วมโครงการคอร์สล้างพิษตับต่างๆ ซึ่งได้เรียนรู้วิธีนวดเพื่อคลายอาการซ่านพิษ และนวดเพื่อให้ผ่อนคลายเพื่อให้ร่างกายกายขับของเสียที่อยู่ในลำไส้ออกมาได้ดีขึ้น


ชนิดาภา และ สุธิพจน์ มาศตันติพร ผู้เข้าร่วมคอร์สล้างพิษตับที่หนำไพร์วัลย์ ช่วยกันบอกเล่าว่า มีอาการปวดหัวชนิดที่ต้องทานยาเป็นกำมือประจำทุกวัน แต่พอเข้าคอร์สนี้แล้วอาการปวดหัวอาเจียนเริ่มลดน้อยลง และไม่ต้องทานยาอีกเลยตั้งแต่ระหว่างอยู่ในคอร์ส มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นด้วยคือ เราไม่คิดว่าร่างกายตัวเองจะมีนิ่วในถุงน้ำดี แต่ก็มีออกมาให้เห็น จึงอยากฝากให้ทุคนเริ่มสนใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น ทานพืชผักให้มากๆ หลีกเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟูด


สำหรับ อำไพย์ ถาวระ หรือพี่ไพย์ ผู้นำเอาคอร์สล้างพิษตับมาเปิดที่หนำไพรวัลย์ กล่าวว่า หลังจากเป็นจิตอาสาเข้าไปช่วยเหลือตามค่ายต่างๆ ทั้งที่โรงเรียนผู้นำของลุงจำลอง และค่ายอื่นๆ ได้พูดคุยกับเพื่อนๆ มีความเห็นตรงกันว่า หนำไพร์วัลย์มีความพร้อมทั้งในเรื่องของสถานที่ และสิ่งแวดล้อม เพราะหนำไพร์วัลย์ทำท่องเทียวเชิงอนุรักษ์และปรุงอาหารด้วยสมุนไพรท้องถิ่นเพื่อสุขภาพอยู่แล้ว จึงตัดสินใจเปิดคอร์สนี้ขึ้น ซึ่งก็ได้วิทยากรจากโรงเรียนผู้นำของลุงจำลองมาช่วยเหลือด้วย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก หลังจากนี้ก็จะพยายามทำต่อไปเรื่อยๆ



นี่ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผมกับค่ายล้างพิษตับคอร์สแรกที่ “หนำไพวัลย์” อยากจะบอกว่า นอกจากสุขภาพดีๆ ที่ได้รับกลับมาแล้ว ยังได้สัมผัสสุดยอดของธรรมชาติท่ามกลางหุบเขาแห่งเทือกเขากรุงชิง ถือว่าได้ชาร์จแบตชีวิตไปในตัวอีกด้วย
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น