xs
xsm
sm
md
lg

ตามหาความจริง...อะไรกันแน่ที่ออกมาจากการล้างพิษตับ !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ในคอร์สสุขภาพ 8 อ. (คอร์สล้างพิษตับ) ของชาวสันติอโศก ได้ใช้วิธีล้างพิษออกจากร่างกายด้วย “กรรม 7” คือ

1. การล้างพิษจากช่องปากด้วยน้ำมันมะพร้าว (Oil pulling)
2.การอดอาหาร (Diet)
3.การสวนล้างลำไส้ทั้งระบบด้วยกากใยอาหาร (food fiber detoxification)
4.การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว (Liver flush)
5.การปรับสมดุลกรดด่างด้วยน้ำด่างขี้เถ้า pH 8.5
6.การแช่เท้า
7.พอกหน้า

ภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นในการล้างพิษในหลักสูตรนี้ในเวลานี้ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้แต่ในวงการแพทย์และพยาบาลจำนวนไม่น้อยก็มาเข้าหลักสูตรนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

และอันที่จริงยังมีเรื่องที่มีความสำคัญและมาบูรณาการอยู่ในหลักสูตรนี้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนวดกดจุดคลายเส้น หรือการจัดกระดูกเพื่อการไหลเวียนเลือดที่ดี แต่เนื่องจากมีรายละเอียดค่อนข้างมากไม่เพียงพอที่จะอธิบายในบทความนี้หมดได้ จึงขออธิบายและตามหาความจริงใน 2 ส่วนสำคัญ อันได้แก่ การล้างลำไส้ และการล้างตับ

สำหรับการล้างลำไส้นั้น เริ่มต้นด้วยการอดอาหาร เพื่อให้ลำไส้ได้พักเต็มที่จากการย่อยอาหาร แล้วใช้พลังงานที่เหลือในการขับของเสียออกจากลำไส้ให้ได้มากที่สุด

การขับของเสียออกจาลำไส้ของหลักสูตรนี้ จึงให้ดื่มได้เฉพาะน้ำด่าง น้ำผลไม้ และสมุนไพรบางชนิดเพื่อในการขับมูกเมือก (Mucus) ซึ่งได้ดักจับสารพิษในลำไส้ให้ออกมาด้วย


ปกติแล้วการสวนล้างลำไส้โดยใช้น้ำโดยใช้น้ำหรือสมุนไพรความจริงแล้วไม่ได้เรียกว่าดีท็อกซ์ แต่น่าจะตรงกับภาษาอังกฤษว่า อีนีมา (enema)มากกว่า และเป็นสิ่งที่ได้ทำกันมานานแล้วในหมู่แพทย์ทางเลือก แต่หลักสูตรนี้มีการล้างลำไส้ในระดับที่เข้มข้นกว่านั้น

เพราะหลักสูตรล้างพิษนี้ได้ใช้สูตรอาหารที่เรียกว่า "ลิดท็อกซ์" ซึ่งก่อนหน้านี้มีองค์ประกอบของผงของพืชที่มีกายใยไฟเบอร์สูงที่เรียกว่าซิลเลียมถึง 50% เปลือกมะนาว 10% ผงขี้เหล็ก 10% ผงขมิ้น 10% ผงมะรุม 10% และอื่นๆอีก 10% จึงเป็นสูตรอาหารที่เน้นการดูดซับพิษในลำไส้เป็นหลัก

สูตรข้างต้นนี้มีหลายวัตถุประสงค์ทั้งการพองตัวในลำไส้ ยาระบาย การดูดสารพิษ การปรับสมดุลในร่างกาย

ในปัจจุบันมีการพัฒนา "ลิดท็อกซ์"สูตรอาหารไฟเบอร์นี้โดยการปรับเป็น ผงซิลเลียมผสมกับ เปลือกเม็ดมะขาม และผงข้าวกล้องงอก (กาบา)
ซึ่งนอกจากจะได้คุณสมบัติการพองตัวของซิลเลียมแล้ว ยังได้คุณประโยชน์จากเปลือกเม็ดมะขามที่ช่วยขับลมในท้อง เป็นยาระบาย ต้านอนุมูลอิสระ ในขณะที่ผงข้างกล้องงอกก็ช่วยทำให้ร่างกายไม่อ่อนแรงเกินไปในระหว่างอดอาหารได้อีกด้วย

และด้วยลักษณะการพองตัวของซิลเลียมในลิดท็อกซ์นี้เอง ทำให้เวลาถ่ายออกมาจะเป็นรูปลำไส้ขนาดยาวต่อเนื่องกัน ดังนั้นทางสันติอโศกจึงเห็นว่าไม่น่าจะนำผงเหล่านี้มาบรรจุในแคปซูล เพราะแม้จะรับประทานง่ายกว่าแต่ก็ให้ผลในการล้างลำไส้ได้ไม่เท่ากับการผสมน้ำแล้วดื่ม เพราะแทนที่ผงซิลเลียมจะพองตัวเป็นรูปตามลำไส้ ก็กลับจะพองตัวเป็นจุดๆ ตามจำนวนเม็ดที่รับประทานเข้าไป ไม่เกาะกลุ่มพองตัวเหมือนการผสมน้ำแล้วดื่ม

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ได้มียาชนิดอื่นที่จะช่วยในการระบายพิษออกจากลำไส้ เพราะยาไทยหลายชนิดก็ยังมีประสิทธิภาพที่ระบายพิษออกได้ดี เช่น ยาชำระเมือกมัน (สูตรหมอปาน) หรือสูตรยาประเภทที่มีดีเกลือเป็นส่วนผสมอยู่ในตลาดอีกหลายชนิด เช่น ยาดอกบัว, นะโม, ฯลฯ

ยาระบายของไทยมีประโยชน์ในการระบายของเสียออกจากร่างกายมาก แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้อ่อนเพลียเพราะถ่ายมากเช่นกันจึงไม่เหมาะกับการใช้ในหลักสูตรที่ใช้การอดอาหารเวลาหลายๆวัน ในขณะที่ผงซิลเลียมไม่ทำให้หิว ขับถ่ายน้อยกว่า แต่ก็อาจทำให้อึดอัดในระหว่างการพองตัว และอาจเกิดอาการซ่านพิษ (อาการโรคเดิมจะกลับมาประทุตามร่างกายอีกครั้ง) ดังนั้นบางคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนและไม่มีคนดูแลจะต้องมีความระวังในเรื่องนี้ด้วย

ตามปกติแล้วเมื่อดูวิธีการในต่างประเทศ พบว่า การล้างลำไส้จะใช้เวลาอดอาหารนานกว่าการล้างพิษออกจากตับ แต่เมื่อมาผนวกกันจึงทำให้การล้างพิษตับต้องอดอาหารนานเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่ข้อดีสำหรับผู้ที่เข้าหลักสูตรครั้งนี้จะมีความเข้าใจเป็นที่ประจักษ์มากขึ้นว่าเมื่อล้างลำไส้จนสะอาดแล้วไม่เหลืออะไรแล้ว จึงทำให้มั่นใจว่าคืนสุดท้ายที่ล้างพิษตับจะมีผลิตภัณฑ์อีกชุดหนึ่งที่ออกมาจากส่วนอื่นที่ไม่ใช่ออกมาจากลำไส้ ซึ่งก็ย่อมออกมาจาก ตับ หรือ ถุงน้ำดี และบางส่วนก็ต้องออกมาจากสิ่งที่เราดื่มเข้าไปในคืนสุดท้ายของหลักสูตรนี้

โดยเฉพาะในช่วงเวลาคืนสุดท้ายที่มีการดื่มน้ำมันมะกอก 150 ซีซี ที่ผสมเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมะนาวอีก 150 ซีซี ในเวลา 22.00 น. - 22.30 น. ซึ่งความจริงแล้วตามตำราแพทย์อายุรเวทระบุแค่ว่าให้ดื่มน้ำมันพืชผสมกับน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเท่านั้น

แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ว่าน้ำมันมะกอกที่ผสมเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมะนาวนั้น เข้าไปทำอะไรกับร่างกายเรากันแน่?

ความเชื่อแรก เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ได้เข้าไปในท่อน้ำดี(ในช่วงเวลาที่ท่อน้ำดีเปิดกว้างที่สุดตามนาฬิกาชีวิต) แล้วเข้าไปดึงสิ่งตกค้างในถุงน้ำดีและตับออกมา เสมือนคราบน้ำมันในตับและถุงน้ำดีต้องล้างด้วยน้ำมันจึงจะสามารถเอาออกได้

ความเชื่อที่สอง เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ไม่ได้เข้าไปในตับและถุงน้ำดี แต่เชื่อว่าน้ำมันมะกอกเป็นลิพิดซึ่งกระตุ้นทำให้ตับและถุงน้ำดีซึ่งหยุดพักจากการย่อยอาหารมช่วงเวลาหนึ่ง ได้ผลิตน้ำดีออกมาเพื่อย่อยน้ำมันมะกอกพร้อมๆกันจำนวนมาก จึงเป็นผลทำให้สิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีจึงหลุดออกมาด้วย

ความเชื่อที่สาม เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาว เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วน้ำดีจะออกมาทำปฏิกิริยาเคมีที่มีลักษณะเป็นสบู่ที่เรียกว่า “Saponification” ที่เกิดจากไขมันหรือน้ำมันทำปฏิกิริยากับน้ำดีซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง

พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ 2 ความเชื่อแรกเชื่อว่า สูตร น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาวช่วยล้างพิษออกจากตับได้จริง แต่ความเชื่อที่สามกลับไม่เชื่อแต่เชื่อว่าเป็นสิ่งหลอกลวงและไม่น่าเชื่อถือ

ความจริงแล้วการทำ"สบู่ก้อน"ที่ทำจากน้ำมันมะกอกนั้นต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ซึ่งมีค่าเป็นด่าง (Alkaline) เข้มข้นสูงสุดถึง pH 14 ในอัตราส่วนน้ำมันมะกอก 100 กรัม และใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 12.46 กรัม จึงจะมีโอกาสทำเป็นสบู่ก้อนได้

แต่ความเป็นจริงน้ำดีของมนุษย์มีค่าความเป็นด่าง (Alkaline) ที่มีค่า pH เพียงแค่ 7.5 ถึง 8.8 ซึ่งห่างไกลจากค่าความเป็นด่างที่จะทำสบู่ก้อนที่ต้องมีค่า pH สูงถึง 14 จึงไม่น่าจะมีความสามารถพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาการทำเสมือนสบู่ก้อนได้ หากสมมุติทำได้อย่างมากก็เป็นแค่สบู่เหลวเท่านั้น


ผลิตภัณฑ์ก้อนสีเขียว ที่มีการถ่ายออกมจากาการล้างพิษตับ จริงอยู่ที่ว่าที่มีการเรียกกันนว่า "นิ่ว" นั้นอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะ"นิ่ว"ที่เป็นเหมือนก้อนหินนั้นต้องจมน้ำและไม่สามารถลอยน้ำได้ แต่ก้อนสีเขียวที่ลอยน้ำได้นั้นแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็น"ก้อนไขมัน"มากกว่าที่อาจมีการผสมทั้งน้ำดี (จึงทำให้เป็นสีเขียว) และบางส่วนอาจมาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไป (น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว) และบางส่วนอาจผสมกับเป็นก้อนไขมันและผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ออกมาจากตับหรือถุงน้ำดีได้ด้วย ซึ่งก้อนเหล่านี้หากทิ้งไว้ในอากาศก็จะพบว่าจะค่อยๆละลายจนเป็นของเหลวได้จนหมด เพราะอย่างไรเสียเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เราดื่มเข้าไปนั้นคงต้องออกมาจากร่างกายในการขับถ่ายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่มันมีสิ่งอื่นที่ออกมาด้วนหรือไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า

แม้ว่าจะยังความน่าสงสัยสำหรับคนที่ช่างสงสัยว่าสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ออกมานั้น เป็นเพียงการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำดีกับน้ำมันมะกอกที่ผสมกับน้ำมะนาวหรือไม่ แต่ก็มีเรื่องให้น่าคิดอีกด้านหนึ่งเช่นกัน ดังนี้

1. ถ้าเป็นเพียงการทำปฏิกิริยาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไปในคืนที่ดื่มน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาวแล้ว เหตุใดการล้างพิษตับในแต่ละครั้งจึงมีผลิตภัณฑ์ออกมาของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน และเหตุใดคนๆเดียวกันในการล้างพิษตับในแต่ละครั้งก็ได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ก้อนสีเขียว วุ้นสีขาว แผ่นไขมันสีน้ำตาล หรือแม้แต่ไม่มีอะไรออกมาเลย ฯลฯ ?

2. ถ้าสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมามีเฉพาะการทำปฏิกิริยากระหว่างน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาวแล้วเหตุใดในหลายกรณีจึงเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ที่ต้องผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีแต่เมื่อเข้าหลักสูตรล้างพิษแล้วกลับมีนิ่วจริงๆออกมาได้โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด โดยบางกรณีพบก้อนไขมันที่ลอยน้ำแต่เคลือบไว้ด้วยนิ่วที่เป็นก้อนหิน และเหตุใดในบางกรณีจึงมีกลิ่นเหม็นเน่า ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ได้มีการล้างลำไส้หมดแล้ว ในขณะที่หลายคนไม่มีกลิ่นใด และเหตุใดจึงมีบางคนได้มีผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นไขมันสีน้ำตาลหรือดำจำนวนมากเป็นนับเป็นกิโลกรัมซึ่งมากกว่าน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวที่ดื่มเข้าไป?

3. เหตุใดในกรณีจึงเกิดเหตุผู้ที่ป่วยในโรคตับ โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี จึงหายจากโรคนี้ได้เป็นจำนวนหลายคนโดยอาศัยการเข้าหลักสูตรล้างพิษอย่างเดียว โดยเฉพาะกรณีล่าสุด นายชัชชัย คาวีสุทธิกร ได้เข้าตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีสูงถึง 18,100,000 IU/mL ต่อมาเข้าหลักสูตร 8 อ. (ล้างพิษตับ)ของชาวสันติอโศกไป 4 ครั้งเป็นเวลา 4 เดือน ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีลดลงเหลือ 20,400 IU/mL หลังจากนั้นจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษตับอีก 5 ครั้ง ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พบไวรัสตับบีลดลงเหลือเพียงแค่ 111 IU/mL ต่อมาจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษเป็นครั้งที่ 12 พบว่าไวรัสตับอักเสบชนิด บี ลดลงเหลือเพียง 22 IU/mL เท่านั้น

แต่ที่น่าสนใจมีหลายคนที่เข้าหลักสูตรล้างพิษแล้ว มีผลตรวจทางการแพทย์ที่แสดงถึงดัชนีชี้วัดว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้น !?

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงยังทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาสบู่ธรรมดาที่เกิดขึ้นจากน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวที่ผสมเข้ากับน้ำดี แม้จะเป็นสิ่งที่น่าติดตามศึกษาหรือพิสูจน์ต่อว่าแท้ที่จริงสิ่งเหล่านี้เข้าไปทำปฏิกิริยากับร่างกายเราจริงๆอย่างไร

แต่คนที่ต้องการพิสูจน์ก็ไม่ควรพลาดโอกาสที่จะได้ลองล้างพิษเหล่านี้ออกจากร่างกายด้วยตัวเองว่ารู้สึกผลลัพธ์เป็นอย่างไร?

เพราะไม่ลองด้วยตัวเอง...ก็จะไม่รู้จริงๆ!!!



กำลังโหลดความคิดเห็น