xs
xsm
sm
md
lg

ตามลุงจำลองไปล้างพิษตับที่ไต้หวัน (ตอนที่ 2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ที่ไต้หวันประชาชนที่นี่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก มีคนจำนวนมากรับประทานอาหารมังสวิรัติ จนมีร้านอาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพที่รสชาติดีมีอยู่เป็นจำนวนมาก และในร้านสะดวกซื้อที่มีผลิตภัณฑ์น้ำด่าง pH 9.0 จำหน่าย พร้อมกับสินค้าบริโภคเพื่อสุขภาพที่จัดเอาไว้เป็นสัดส่วนโดยเฉพาะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า วิถีชีวิตของผู้บริโภคไต้หวันมีความเอาใจใส่ในเรื่องสุขภาพมากน้อยเพียงใด

เราอาจจะโชคดีหน่อยที่การเดินทางไปไต้หวันครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเป็นคนพาไปทัวร์ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะการนำไปชมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio Technology) ที่ถือว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก
ภาพ: การเลี้ยงสมุนไพรในไต้หวันแบบเพาะเนื้อเยื่อเฉพาะที่ได้เลี้ยงในหลอดทดลอง ไร้สารพิษและสามารถนำมาผลิตเป็นอุตสาหกรรมได้มากกว่าและเร็วกว่าการปลูกจริง
จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นกระบวนการผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมที่ได้มาจากพืชและสมุนไพรนั้น ที่ไต้หวันให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่ได้ใช้เวลานานเพื่อรอการเพาะปลูกหรือใช้เนื้อที่เพาะปลูกเป็นจำนวนมาก แต่ที่ไต้หวันได้นำส่วนเป้าหมายที่ต้องการอย่างเฉพาะเจาะจงที่ผ่านงานวิจัยแล้วคิดว่าดีที่สุด เช่น ราก ใบ ผล ลำต้น ฯลฯ แล้วนำมาเพาะเนื้อเยื่อขยายในหลอดทดลองได้อย่างตรงเป้าหมายที่สุด

เราได้ไปชมกระบวนการผลิต เอนไซม์ ที่คัดแยกตามวัตถุประสงค์ เช่น เอนไซม์สำหรับการย่อยสลายแป้งเป็นน้ำตาล เอนไซม์สำหรับการย่อยสลายไขมันและสารพิษในลำไส้ รวมถึงเอนไซม์ที่ย่อยสลายเนื้อที่ตายแล้วจากถูกไฟไหม้ให้สามารถฟื้นฟูกลับสภาพได้เหมือนเดิม ทำให้เห็นได้ว่าการใช้เอนไซม์ของชาวไต้หวันนั้นมีความก้าวหน้าอย่างมากในการประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพที่ส่งออกไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก

ต่างจากเมืองไทยที่มีคนบางกลุ่มนิยมการหมักพืชผักผลไม้ แต่กลับไม่มีงานวิจัยที่สามารถระบุได้ว่าผลลัพธ์จากการหมักเหล่านั้นได้จุลินทรีย์ชนิดใด หรือได้ เอนไซม์ชนิดใด และมีประโยชน์อย่างไร และมีโทษอย่างไรหรือไม่? ในขณะที่ไต้หวันนั้นมีการคัดเลือกผลไม้ ผัก และสมุนไพร แล้วคัดพันธุ์แบคทีเรียที่ต้องการเพื่อให้ได้เป้าหมายเอนไซม์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจจะเป็นเพราะด้านหนึ่งอำนาจรัฐไม่ส่งเสริมงานวิจัยประเภทเหล่านี้ ในขณะอีกด้านหนึ่งก็กลับไปตามจับคนที่หมักพืชและผลไม้เหล่านั้นว่าไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งความล้มเหลวในเรื่องเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งผลไม้และพืชชั้นเยี่ยมกลับขาดโอกาสในการพัฒนาในเรื่องนี้อย่างน่าเสียดาย

ในที่สุดเราก็ได้เดินทางมาถึงบ้านเจ้าของผู้ผลิตเอนไซม์ใหญ่ที่สุดในไต้หวันชื่อ คุณเจิ้น ปีหนึ่งผลิตส่งออกต่างประเทศถึง 4 พันตัน โดยได้มีการหมักผลไม้แยกถังหมัก 50 ชนิด ผักและพืช 50 ชนิด และสมุนไพรอีก 50 ชนิด โดยมีการนำเข้าแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น 12 ชนิด เอาไปเลี้ยงในถังหมักเหล่านี้พร้อมกับให้น้ำตาลฟรุ๊กโตส (น้ำตาลจากผลไม้)เป็นเวลา 1 ปี แล้วจึงนำมารวมกัน 150ชนิด แล้วหมักต่ออีก 1 ปี โดยมาตรฐานคุณภาพนั้นสามารถส่งออกไปยังประเทศที่เข้มงวดด้านอาหารและยาอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป
อ.แก่นฟ้า แสนเมือง กำลังถือลูกสาลี่ไร้สารพิษขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผลไม้ที่มาร่วมหมักเพื่อผลิตเอนไซม์ในไต้หวัน
ที่กล่าวมาถึงเอนไซม์ และแบคทีเรีย ก็เพราะการเดินทางไปไต้หวันครั้งนี้ เราตัดสินใจที่จะทดลองหลักสูตรล้างลำไส้ ล้างพิษตับ และถุงน้ำดี ที่บ้านของคุณเจิ้น ประธานบริษัทผู้ส่งออกเอนไซม์รายใหญ่ที่สุดของไต้หวันแห่งนี้ ซึ่งมีการใช้เอนไซม์ร่วมด้วยกับการล้างพิษ โดยจะใช้เวลาอดอาหารเพียงแค่ประมาณ 48 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่มีการใช้น้ำสวนทวารล้างลำไส้หรือดีท็อกซ์ โดยในการนี้ผู้ที่จะทดลองก็ได้แก่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, อ.ขวัญดิน สิงห์คำ, อ.แก่นฟ้า แสนเมือง, หมอปาน, และปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ภาพ (จากซ้ายไปขวา):  อ.ขวัญดิน สิงห์คำ, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, อ.แก่นฟ้า แสนเมือง, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, และ หมอปาน (จิตรา ปลอดอักษร) กำลังแสดงจำนวนน้ำเอนไซม์ที่นำมาใส่ขวดเพื่อดื่มให้หมดภายในระหว่างการล้างพิษ
หลักวิธีคิดของการล้างพิษตับ ถุงน้ำดี และลำไส้ ของไต้หวันนั้นหลักการมีส่วนคล้ายของไทยอยู่มาก แต่ก็มีความแตกต่างในรายละเอียด โดยที่ไต้หวันใช้หลักการดังนี้

1. อดอาหาร เพื่อหยุดพักในกระบวนการย่อยอาหารในร่างกายเพื่อใช้กำลังในการขับพิษออกจากร่างกายเป็นหลัก

2. ในระหว่างการอดอาหารให้ดื่มน้ำหมักเอนไซม์จากพืช ผลไม้ และสมุนไพร 150 ชนิด ที่คัดพันธุ์ของแบคทีเรียแล้วว่าเป็นประโยชน์ในกระบวนการย่อยสลายกากอาหารในลำไส้ ด้านหนึ่งจะไม่รู้สึกหิวในระหว่างการอดอาหารเพราะมีน้ำตาลฟรุ๊กโตสจากกระบวนการหมัก อีกด้านหนึ่งคือสารอาหารที่ได้จากพืช ผลไม้ และสมุนไพร 150 ชนิด สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงจะไม่รู้สึกอ่อนเพลีย และไม่เกิดแก๊สในกระเพาะ

3. ใช้ผงเอนไซม์เฉพาะสำหรับการย่อยสิ่งตกค้างในลำไส้โดยองค์ประกอบหลักผลิตมาจากเอนไซม์ที่ได้จากมะละกอเพื่อให้เกิดกระบวนการขับถ่ายออก ให้กินตามเวลาที่กำหนดให้

4. ใช้ผงแอปเปิ้ลผสมน้ำให้ดื่มตามกำหนดเวลาโดยเชื่อว่าจะทำให้นิ่วในตับและถุงน้ำดีนิ่มลง (เมืองไทยดื่มน้ำคั้นแอปเปิ้ลแยกกาก)

5. ให้ดื่มน้ำมันมะกอก ผสมกับผงแอปเปิ้ล ผสมน้ำเขย่าให้เข้ากันและดื่มในเวลากลางคืน และให้ดื่มแบบนี้ซ้ำอีกครั้งในตอนเช้า


โดยสูตรล้างพิษลำไส้ ถุงน้ำดี และตับ ของไต้หวันจึงออกมาเป็นดังนี้

06.00 น. ตื่นเช้ามาอดอาหารทุกชนิด และให้ดื่มน้ำเอนไซม์และแบคทีเรียที่ได้จาก ผลไม้ พืช และสมุนไพร 150 ชนิด

14.00 น. - 18.00 น. กินผงเอนไซม์สำหรับกาย่อยสลายทำความสะอาดลำไส้ (เป็นยาถ่ายในตัว) 1 ซอง ผสมน้ำ 500 ซีซี ดื่มแบบนี้ 4 ครั้ง ใน 4 ชั่วโมง เฉลี่ยดื่มแบบนี้ทุกๆชั่วโมง

18.00 น. ดื่มน้ำเอนไซม์และแบคทีเรียที่ได้จากผลไม้ พืช และสมุนไพร 150 ชนิด จำนวน 50 ซีซี ผสมกับ ผงแอปเปิ้ล 1 ซอง ที่ผสมน้ำ 400 ซีซี แล้วเขย่าผสมรวมกัน

20.00 น. ดื่มน้ำเอนไซม์ และแบคทีเรียที่ได้จากผลไม้ พืช และสมุนไพร 150 ชนิด จำนวน 50 ซีซี ผสมกับ ผงแอปเปิ้ล 1 ซอง ที่ผสมน้ำ 400 ซีซี แล้วเขย่าผสมรวมกัน ซึ่งตามสูตรนี้จะเริ่มขับถ่ายได้เองภายในเวลาไม่เกิน 20.00 น.

22.00 น. ดื่มน้ำมันมะกอก 120 ซีซี ผสมกับ ผงแอปเปิ้ล 1 ซอง ที่ผสมน้ำ 120 ซีซี แล้วเขย่าผสมรวมกัน หลังจากนั้นให้นอนตะแคงขวา 40 นาทีขึ้นไป

08.00 น. ดื่มน้ำมันมะกอกอีก 80 ซีซี ผสมกับ ผงแอปเปิ้ล 1 ซอง ที่ผสมน้ำ 120 ซีซี และนอนตะแคงขวาอีก 40 นาที

10.00 น. ดื่มน้ำเอนไซม์ และแบคทีเรียที่ได้จากผลไม้ พืช และสมุนไพร 150 ชนิด จำนวน 50 ซีซี ผสมกับ ผงแอปเปิ้ล 1 ซอง ที่ผสมน้ำ 400 ซีซี

12.00 น. - 18.00 น. ให้เริ่มกินอาหารอ่อน

ขอสรุปตรงนี้เอาไว้ให้รู้ว่าหลักสูตรของสันติอโศกนั้นน่าจะเหนือกว่าโดยรวม แต่น่าจะเสริมด้วยการใช้เอนไซม์มาร่วมด้วยเพื่อประโยชน์สูงสุดในการล้างพิษในลำไส้

ส่วนวิธีนี้จะได้ผลเป็นอย่างไรติดตามต่อตอนหน้าจะมาวิเคราะห์แจกแจง ข้อดีข้อเสีย และการนำมาประยุกต์กับการล้างพิษตับในบ้านเราว่าจะพัฒนาต่อไปอย่างไร?



กำลังโหลดความคิดเห็น