ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
การทดลองล้างพิษลำไส้และตับแบบไต้หวันนำทีมโดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง, อ.แก่นฟ้า แสนเมือง, อ.ขวัญดิน สิงห์คำ, หมอปาน (จิตรา ปลอดอักษร) และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตามสูตรที่ได้กล่าวในตอนที่แล้ว (แบบไม่ต้องมีการสวนล้างลำไส้) ปรากฏว่า พลตรีจำลอง ศรีเมือง และ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ มีผลิตภัณฑ์จากการล้างพิษตับออกมามากที่สุด ส่วนใหญ่ก็คือไขมันที่อยู่ในตับและถุงน้ำดี
จากการล้างพิษใน ลำไส้ ถุงน้ำ ดี และตับที่ไต้หวันมีประเด็นที่น่าสังเกต 3 ประการดังนี้
1.สูตรการล้างพิษ "เฉพาะส่วนลำไส้" แบ่งออกเป็นหลายสูตรและหลายวัตถุประสงค์ดังนี้
สูตรของชาวอโศกหรือโรงเรียนผู้นำ ใช้ "ลิดท็อกซ์" ซึ่งมีส่วนผสมหลักก็คือธัญญพืช "ซิลเลียม" ซึ่งมีคุณสมบัติพองตัวเมื่อโดนน้ำ ทำให้เกิดการพองตัวในลำไส้และกวาดพิษตกค้างออกจากลำไส้ เมื่อนำมาผสมกับสมุนไพรไทยหลายชนิดจึงช่วยการขับถ่ายพิษอีกประการหนึ่ง เมื่อขับถ่ายออกมาหรือสวนล้างลำไส้ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจึงออกมาเป็นปล้องรูปลำไส้และขับของเสียออกได้มาก
สูตรของชาวอโศกหรือโรงเรียนผู้นำ ใช้ "ยาชำระเมือกมัน" สูตรหมอปาน มีสมุนไพรหลายชนิด เนื่องจากในลำไส้ได้ผลิตมูกเมือกเพื่อมาดักจับสารพิษในลำไส้ และบางส่วนเป็นไขมันตกค้างจากอาหาร เมื่อมูกเมือกและไขมันจากอาหารอยู่ในลำไส้นานจึงสะสมสารพิษอยู่ในลำไส้อยู่เป็นจำนวนมาก ยาประเภทนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการขับชำระเมือกมันเหล่านี้ออกจากร่างกายแต่ก็มีส่วนผสมของยาถ่ายบางส่วนด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจึงพบเป็นมูกเมือกและไขมันระหว่างการล้างพิษ
ส่วนสูตรของไต้หวันที่พวกเราได้ไปทดลองมานั้นใช้ "เอนไซม์ผง" สำหรับการล้างลำไส้โดยเฉพาะ มีวัตถุประสงค์คือเข้าไป "ย่อยสลาย"กากอาหารและสารพิษที่ตกค้าง และเอนไซม์จากมะละกอที่นำมาใช้ยังมีคุณสมบัติช่วยการขับถ่ายอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในการขับถ่ายจึงจะเห็นกากที่ถูกย่อยสลายแล้ว และจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือคล้ายปลาเค็มอันเป็นผลมาจากการย่อยสลายกากที่ตกค้างอยู่ในลำไส้มาเป็นเวลานาน
แต่ไม่ว่าจะสูตรไหนก็ตามในการล้างลำไส้ข้างต้น แต่ก็ต้องเข้าใจว่าส่วนที่เป็นพิษตกค้างในลำไส้ระหว่างเดินทางผ่านขบวนการขับถ่ายนั้น หากสิ่งที่เป็นพิษตกค้างนั้นเดินทางช้าก่อนการขับถ่าย ก็อาจจะทำให้ลำไส้ดูดพิษตกค้างที่อยู่ระหว่างเดินทางเหล่านั้นกลับเข้าไปสู่ร่างกายอีก ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "ซ่านพิษ" ได้ ที่บางคนอาจมีอาการปวดหัว มึนงง ผื่นแดงขึ้น จาม หอบหืด ส ฯลฯ
สำหรับคนที่มีลักษณะ "ธาตุอ่อน" หรือขับถ่ายง่าย ก็แทบอาจจะไม่ต้องการอย่างอื่นในการช่วยในการขับถ่ายเพราะในการล้างลำไส้ทั้ง 3 ตัวข้างต้นนั้นก็ล้วนแล้วแต่ผสมยาถ่ายเอาไว้อยู่แล้วบ้าง แต่ถ้าบางคนเป็นกลุ่มคนที่ "ธาตุแข็ง" ก็อาจจะต้องปรับและเสริมในการขับถ่ายออกให้เร็วกว่านั้น และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบางกรณีเราถึงต้องกินอะไรอีกหลายอย่างเพื่อช่วยการขับถ่ายเพิ่มเติม เช่น น้ำมะขาม มะขามแขก ดอกหรือใบชุมเห็ดเทศ น้ำมันละหุ่ง เนื้อในฝักคูณ ยาประเภทผสมดีเกลือไทย (โซเดียมซัลเฟต ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรความดันโลหิตสูง) ยาประเภทดีเกลือฝรั่ง (แมกนีเซียมซัลเฟต) แม้แต่กรณียาถ่ายข้างต้นหากไม่เพียงพอก็ต้องมีการสวนทวารล้างลำไส้ให้เร็วที่สุดในระหว่างที่เข้าหลักสูตรล้างพิษ
เราสรุปได้ว่าขบวนการล้างลำไส้โดยใช้เอนไซม์สูตรไต้หวันแม้จะใช้ "ผงเอนไซม์" ในการย่อยสลายสารตกค้างในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก แต่ดูเหมือนว่า 2 คนจาก 5 คนที่เข้าหลักสูตรในครั้งนี้ยังไม่สามารถนำสารพิษตกค้างออกได้ทันในระหว่างขับถ่าย ทำให้ก่อนการถ่าย บางคนเกิดอาการปวดหัว บางคนอึดอัด บางคนอาเจียน หลังการรับประทานผงเอนไซม์ผสมน้ำสำหรับล้างลำไส้ เราจึงสรุปได้ว่าในส่วนการล้างลำไส้ในหลักสูตรของไต้หวันนั้นยังจำเป็นต้องเสริมด้วยยาถ่ายสูตรชาวอโศก และยังอาจจำเป็นต้องการสวนทวารล้างลำไส้อยู่
2. สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งในการล้างพิษครั้งนี้ เราพบว่าระหว่างการดื่มน้ำเอนไซม์ที่ได้มาจากการคัดพันธุ์จุลินทรีย์ 12 ชนิด ที่ได้อาหารจากพืช ผัก ผลไม้ สมุนไพรถึง 150 ชนิด โดยให้ดื่มตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่รู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการหิวเลยแม้แต่น้อย ต่างจากการดื่มน้ำผลไม้โดยตรง ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการเคี้ยวจากปากทำให้ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการผลิตเอนไซม์จากน้ำลาย เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจึงเกิดกระบวนการหมักและเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และหากดื่มน้ำผลไม้สดมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดหรือจุกเสียดจากแก๊สเหล่านี้ได้ ในขณะน้ำเอนไซม์มีสารอาหารจากการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์นั้นสามารถดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังได้น้ำตาลผลไม้ฟรุ๊กโตสอีกด้วย ทำให้ไม่เกิดอาการอ่อนเพลียหรือเกิดแก๊สที่ทำให้เกิดความอึดอัดแต่ประการใด
สิ่งที่น่าสนใจเราพบว่าในหลักสูตรล้างพิษในไทย ในบางกรณีที่บางคนตับทำงานยังไม่ดีแต่เมื่อล้างพิษลำไส้ออกไปเป็นจำนวนมาก ทำให้อาจสูญเสียจุลินทรีย์และเอนไซม์ในลำไส้ไปด้วย หากจุลินทรีย์ที่ใช้สำหรับการย่อยไม่สามารถขยายตัวเติบโตได้ดีหรือการผลิตเอนไซม์ยังน้อยอยู่ ก็อาจจะเกิดปัญหาในเรื่องระบบการย่อยได้ ซึ่ง อ.แก่นฟ้า แสนเมืองเห็นว่าในบางกรณีที่เกิดขึ้นเช่นนั้น น้ำเอนไซม์ที่ผลิตจากน้ำพืชผักผลไม้น่าจะทำหน้าที่ช่วยเหลือในเรื่องระบบการย่อยและการขับถ่ายหลังการล้างพิษได้
3. การล้างตับของไต้หวัน ก็ไม่แตกต่างจากของสันติอโศกและในหลายประเทศ คือใช้น้ำมันมะกอกเป็นตัวกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีขับน้ำดีออกมาเพื่อย่อยสลายน้ำมันมะกอก เมื่อน้ำดีออกมาจำนวนมากก็จะนำพาสิ่งตกค้างอื่นๆในตับและถุงน้ำดีออกมาด้วย เช่น ไขมัน สารเคมีหรือพิษตกค้าง นิ่ว และเซลล์ในตับและถุงน้ำดี
แต่ดูเหมือนว่าสูตรอายุรเวท ที่ใช้น้ำมัน + ผลไม้รสเปรี้ยวนั้น แทบทุกประเทศต่างใช้น้ำมันมะกอกเหมือนกัน แต่ผลไม้รสเปรี้ยวที่นำมาผสมนั้นมีความแตกต่างกัน ของไต้หวันใช้น้ำมันมะกอก + ผงแอปเปิ้ลและผสมน้ำนั้น ไม่มีความอร่อยเลย เพราะผงแอปเปิ้ลที่ผสมกับน้ำนั้นไม่เข้ากับน้ำมันมะกอก ในขณะที่สูตรโรงเรียนผู้นำแต่เดิมใช้ น้ำมันมะกอก + น้ำมะนาวอย่างละเท่าๆกันสำหรับบางคนรสชาดนี้ก็ดื่มยาก
แต่สูตรที่น่าจะมีรสชาดดีหน่อยในเวลานี้น่าจะเป็น "น้ำมันมะกอก 1 ส่วน + น้ำมะนาว 1/2 ส่วน + น้ำส้ม 1/2 ส่วน แล้วใส่เกลือไปนิดหน่อย" รสชาดจะออกเหมือนน้ำสลัดและดื่มได้ง่ายมากกว่า
ที่น่าสนใจคือที่ไต้หวันไม่ต้องรออดอาหารหลายวันในการล้างลำไส้แล้วจึงมาล้างตับ แต่ใช้การล้างลำไส้โดยเอนไซม์เพียง 1 วัน และดื่มน้ำมันมะกอกในคืนนั้นเวลา 22.00 น. เลย อีกทั้งดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้ในตอนเช้าซ้ำอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง ในเวลา 08.00 น. ซึ่งก็ปรากฏว่าสิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีก็ออกมา "ตลอดทั้งวัน"เช่นกัน ซึ่งในระหว่างนั้นก็จะพบว่าบางคนมีอาการซ่านพิษ เพราะสิ่งตกค้างจากตับและถุงน้ำดีบางส่วนลำไส้อาจดูดซึมกลับ
จึงเป็นเหตุที่เรายังเห็นว่าอย่างไรเสียก็จำเป็นต้องหาทางขับถ่ายสิ่งตกค้างเหล่านี้ให้เร็วที่สุด และหากตัดสินใจไม่สวนทวารล้างลำไส้ สิ่งที่ตามมาก็คือจะต้องมีการขับถ่ายทั้งวัน ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความน่ารำคาญแล้วการขับถ่ายบ่อยครั้งแล้ว ยังจะทำให้แสบในระหว่างการขับถ่ายอีกด้วย ด้วยเหตุผลนี้จึงสรุปได้ว่าการสวนทวารล้างลำไส้น่าจะยังดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีอื่น เพราะเมื่อสวนทวารล้างลำไส้แล้วทำให้การขับถ่ายรวดเดียวดึงออกมาได้เป็นจำนวนมากและจะทิ้งเวลาขับถ่ายออกไปได้นานกว่าจะมาขับถ่ายอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามจากการที่เราได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยว 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ทำให้เราได้ข้อคิดว่าการดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเพื่อล้างตับหากสามารถทำให้ลำไส้สะอาดได้รวดเร็ว ก็ยังไม่จำเป็นต้องรออดอาหารเป็นเวลาหลายๆวันเหมือนกับการล้างลำไส้ ในขณะเดียวกันในช่วงการอดอาหารรอบหนึ่งก็สามารถดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยวได้มากกว่า 1 ครั้ง (หากมีกำลังเพียงพอ)
ปรากฏว่าที่ ศูนย์ล้างพิษที่ ศีรษะอโศก จ. ศรีสะเกษ และ ศูนย์ล้างพิษตับแบบองค์รวม ธัญสมุย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้พัฒนาจัดให้มีการดื่มน้ำมันมะกอกมากกว่า 1 ครั้งแล้ว สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นในการล้างพิษตับมากเป็นพิเศษ และต้องยังมีกำลังที่สามารถทำได้ ในบางคนทำได้ถึง 3-4 ครั้งในระหว่างการอดอาหารหลายวันนั้น ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ดีเป็นที่น่าพอใจเช่นกัน และถือว่าคุ้มเพราะอดอาหารรอบเดียวซึ่งใช้เวลาหลายวันและสามารถล้างพิษตับได้หลายรอบด้วย
หลังจากหลักสูตรล้างพิษครั้งนี้ผ่านไป "อาเปิ้ม" หรือ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ได้เกิดแรงบันดาลใจในการสานต่อและพัฒนาเรื่องน้ำหมักเอนไซม์ในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและให้มีผลทดสอบทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ด้าน อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ถึงขนาดเกิดแรงบันดาลใจเตรียมไปสมัครเรียนต่อปริญญาเอกด้านไบโอเทคที่ไต้หวันเพื่อให้ได้ความรู้ในด้านนี้เพิ่มเติม และเชื่อว่าจะสามารถพัฒนาหลักสูตรการล้างพิษให้ก้าวไกลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อีกมากอย่างแน่นอน
ส่วนสูตรที่พัฒนาและปรับปรุงใหม่แล้วจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามในโอกาสต่อไป !!!
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
การทดลองล้างพิษลำไส้และตับแบบไต้หวันนำทีมโดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง, อ.แก่นฟ้า แสนเมือง, อ.ขวัญดิน สิงห์คำ, หมอปาน (จิตรา ปลอดอักษร) และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตามสูตรที่ได้กล่าวในตอนที่แล้ว (แบบไม่ต้องมีการสวนล้างลำไส้) ปรากฏว่า พลตรีจำลอง ศรีเมือง และ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ มีผลิตภัณฑ์จากการล้างพิษตับออกมามากที่สุด ส่วนใหญ่ก็คือไขมันที่อยู่ในตับและถุงน้ำดี
จากการล้างพิษใน ลำไส้ ถุงน้ำ ดี และตับที่ไต้หวันมีประเด็นที่น่าสังเกต 3 ประการดังนี้
1.สูตรการล้างพิษ "เฉพาะส่วนลำไส้" แบ่งออกเป็นหลายสูตรและหลายวัตถุประสงค์ดังนี้
สูตรของชาวอโศกหรือโรงเรียนผู้นำ ใช้ "ลิดท็อกซ์" ซึ่งมีส่วนผสมหลักก็คือธัญญพืช "ซิลเลียม" ซึ่งมีคุณสมบัติพองตัวเมื่อโดนน้ำ ทำให้เกิดการพองตัวในลำไส้และกวาดพิษตกค้างออกจากลำไส้ เมื่อนำมาผสมกับสมุนไพรไทยหลายชนิดจึงช่วยการขับถ่ายพิษอีกประการหนึ่ง เมื่อขับถ่ายออกมาหรือสวนล้างลำไส้ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจึงออกมาเป็นปล้องรูปลำไส้และขับของเสียออกได้มาก
สูตรของชาวอโศกหรือโรงเรียนผู้นำ ใช้ "ยาชำระเมือกมัน" สูตรหมอปาน มีสมุนไพรหลายชนิด เนื่องจากในลำไส้ได้ผลิตมูกเมือกเพื่อมาดักจับสารพิษในลำไส้ และบางส่วนเป็นไขมันตกค้างจากอาหาร เมื่อมูกเมือกและไขมันจากอาหารอยู่ในลำไส้นานจึงสะสมสารพิษอยู่ในลำไส้อยู่เป็นจำนวนมาก ยาประเภทนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการขับชำระเมือกมันเหล่านี้ออกจากร่างกายแต่ก็มีส่วนผสมของยาถ่ายบางส่วนด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจึงพบเป็นมูกเมือกและไขมันระหว่างการล้างพิษ
ส่วนสูตรของไต้หวันที่พวกเราได้ไปทดลองมานั้นใช้ "เอนไซม์ผง" สำหรับการล้างลำไส้โดยเฉพาะ มีวัตถุประสงค์คือเข้าไป "ย่อยสลาย"กากอาหารและสารพิษที่ตกค้าง และเอนไซม์จากมะละกอที่นำมาใช้ยังมีคุณสมบัติช่วยการขับถ่ายอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในการขับถ่ายจึงจะเห็นกากที่ถูกย่อยสลายแล้ว และจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือคล้ายปลาเค็มอันเป็นผลมาจากการย่อยสลายกากที่ตกค้างอยู่ในลำไส้มาเป็นเวลานาน
แต่ไม่ว่าจะสูตรไหนก็ตามในการล้างลำไส้ข้างต้น แต่ก็ต้องเข้าใจว่าส่วนที่เป็นพิษตกค้างในลำไส้ระหว่างเดินทางผ่านขบวนการขับถ่ายนั้น หากสิ่งที่เป็นพิษตกค้างนั้นเดินทางช้าก่อนการขับถ่าย ก็อาจจะทำให้ลำไส้ดูดพิษตกค้างที่อยู่ระหว่างเดินทางเหล่านั้นกลับเข้าไปสู่ร่างกายอีก ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "ซ่านพิษ" ได้ ที่บางคนอาจมีอาการปวดหัว มึนงง ผื่นแดงขึ้น จาม หอบหืด ส ฯลฯ
สำหรับคนที่มีลักษณะ "ธาตุอ่อน" หรือขับถ่ายง่าย ก็แทบอาจจะไม่ต้องการอย่างอื่นในการช่วยในการขับถ่ายเพราะในการล้างลำไส้ทั้ง 3 ตัวข้างต้นนั้นก็ล้วนแล้วแต่ผสมยาถ่ายเอาไว้อยู่แล้วบ้าง แต่ถ้าบางคนเป็นกลุ่มคนที่ "ธาตุแข็ง" ก็อาจจะต้องปรับและเสริมในการขับถ่ายออกให้เร็วกว่านั้น และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบางกรณีเราถึงต้องกินอะไรอีกหลายอย่างเพื่อช่วยการขับถ่ายเพิ่มเติม เช่น น้ำมะขาม มะขามแขก ดอกหรือใบชุมเห็ดเทศ น้ำมันละหุ่ง เนื้อในฝักคูณ ยาประเภทผสมดีเกลือไทย (โซเดียมซัลเฟต ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรความดันโลหิตสูง) ยาประเภทดีเกลือฝรั่ง (แมกนีเซียมซัลเฟต) แม้แต่กรณียาถ่ายข้างต้นหากไม่เพียงพอก็ต้องมีการสวนทวารล้างลำไส้ให้เร็วที่สุดในระหว่างที่เข้าหลักสูตรล้างพิษ
เราสรุปได้ว่าขบวนการล้างลำไส้โดยใช้เอนไซม์สูตรไต้หวันแม้จะใช้ "ผงเอนไซม์" ในการย่อยสลายสารตกค้างในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก แต่ดูเหมือนว่า 2 คนจาก 5 คนที่เข้าหลักสูตรในครั้งนี้ยังไม่สามารถนำสารพิษตกค้างออกได้ทันในระหว่างขับถ่าย ทำให้ก่อนการถ่าย บางคนเกิดอาการปวดหัว บางคนอึดอัด บางคนอาเจียน หลังการรับประทานผงเอนไซม์ผสมน้ำสำหรับล้างลำไส้ เราจึงสรุปได้ว่าในส่วนการล้างลำไส้ในหลักสูตรของไต้หวันนั้นยังจำเป็นต้องเสริมด้วยยาถ่ายสูตรชาวอโศก และยังอาจจำเป็นต้องการสวนทวารล้างลำไส้อยู่
2. สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งในการล้างพิษครั้งนี้ เราพบว่าระหว่างการดื่มน้ำเอนไซม์ที่ได้มาจากการคัดพันธุ์จุลินทรีย์ 12 ชนิด ที่ได้อาหารจากพืช ผัก ผลไม้ สมุนไพรถึง 150 ชนิด โดยให้ดื่มตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่รู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการหิวเลยแม้แต่น้อย ต่างจากการดื่มน้ำผลไม้โดยตรง ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการเคี้ยวจากปากทำให้ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการผลิตเอนไซม์จากน้ำลาย เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจึงเกิดกระบวนการหมักและเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และหากดื่มน้ำผลไม้สดมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดหรือจุกเสียดจากแก๊สเหล่านี้ได้ ในขณะน้ำเอนไซม์มีสารอาหารจากการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์นั้นสามารถดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังได้น้ำตาลผลไม้ฟรุ๊กโตสอีกด้วย ทำให้ไม่เกิดอาการอ่อนเพลียหรือเกิดแก๊สที่ทำให้เกิดความอึดอัดแต่ประการใด
สิ่งที่น่าสนใจเราพบว่าในหลักสูตรล้างพิษในไทย ในบางกรณีที่บางคนตับทำงานยังไม่ดีแต่เมื่อล้างพิษลำไส้ออกไปเป็นจำนวนมาก ทำให้อาจสูญเสียจุลินทรีย์และเอนไซม์ในลำไส้ไปด้วย หากจุลินทรีย์ที่ใช้สำหรับการย่อยไม่สามารถขยายตัวเติบโตได้ดีหรือการผลิตเอนไซม์ยังน้อยอยู่ ก็อาจจะเกิดปัญหาในเรื่องระบบการย่อยได้ ซึ่ง อ.แก่นฟ้า แสนเมืองเห็นว่าในบางกรณีที่เกิดขึ้นเช่นนั้น น้ำเอนไซม์ที่ผลิตจากน้ำพืชผักผลไม้น่าจะทำหน้าที่ช่วยเหลือในเรื่องระบบการย่อยและการขับถ่ายหลังการล้างพิษได้
3. การล้างตับของไต้หวัน ก็ไม่แตกต่างจากของสันติอโศกและในหลายประเทศ คือใช้น้ำมันมะกอกเป็นตัวกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีขับน้ำดีออกมาเพื่อย่อยสลายน้ำมันมะกอก เมื่อน้ำดีออกมาจำนวนมากก็จะนำพาสิ่งตกค้างอื่นๆในตับและถุงน้ำดีออกมาด้วย เช่น ไขมัน สารเคมีหรือพิษตกค้าง นิ่ว และเซลล์ในตับและถุงน้ำดี
แต่ดูเหมือนว่าสูตรอายุรเวท ที่ใช้น้ำมัน + ผลไม้รสเปรี้ยวนั้น แทบทุกประเทศต่างใช้น้ำมันมะกอกเหมือนกัน แต่ผลไม้รสเปรี้ยวที่นำมาผสมนั้นมีความแตกต่างกัน ของไต้หวันใช้น้ำมันมะกอก + ผงแอปเปิ้ลและผสมน้ำนั้น ไม่มีความอร่อยเลย เพราะผงแอปเปิ้ลที่ผสมกับน้ำนั้นไม่เข้ากับน้ำมันมะกอก ในขณะที่สูตรโรงเรียนผู้นำแต่เดิมใช้ น้ำมันมะกอก + น้ำมะนาวอย่างละเท่าๆกันสำหรับบางคนรสชาดนี้ก็ดื่มยาก
แต่สูตรที่น่าจะมีรสชาดดีหน่อยในเวลานี้น่าจะเป็น "น้ำมันมะกอก 1 ส่วน + น้ำมะนาว 1/2 ส่วน + น้ำส้ม 1/2 ส่วน แล้วใส่เกลือไปนิดหน่อย" รสชาดจะออกเหมือนน้ำสลัดและดื่มได้ง่ายมากกว่า
ที่น่าสนใจคือที่ไต้หวันไม่ต้องรออดอาหารหลายวันในการล้างลำไส้แล้วจึงมาล้างตับ แต่ใช้การล้างลำไส้โดยเอนไซม์เพียง 1 วัน และดื่มน้ำมันมะกอกในคืนนั้นเวลา 22.00 น. เลย อีกทั้งดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้ในตอนเช้าซ้ำอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง ในเวลา 08.00 น. ซึ่งก็ปรากฏว่าสิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีก็ออกมา "ตลอดทั้งวัน"เช่นกัน ซึ่งในระหว่างนั้นก็จะพบว่าบางคนมีอาการซ่านพิษ เพราะสิ่งตกค้างจากตับและถุงน้ำดีบางส่วนลำไส้อาจดูดซึมกลับ
จึงเป็นเหตุที่เรายังเห็นว่าอย่างไรเสียก็จำเป็นต้องหาทางขับถ่ายสิ่งตกค้างเหล่านี้ให้เร็วที่สุด และหากตัดสินใจไม่สวนทวารล้างลำไส้ สิ่งที่ตามมาก็คือจะต้องมีการขับถ่ายทั้งวัน ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความน่ารำคาญแล้วการขับถ่ายบ่อยครั้งแล้ว ยังจะทำให้แสบในระหว่างการขับถ่ายอีกด้วย ด้วยเหตุผลนี้จึงสรุปได้ว่าการสวนทวารล้างลำไส้น่าจะยังดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีอื่น เพราะเมื่อสวนทวารล้างลำไส้แล้วทำให้การขับถ่ายรวดเดียวดึงออกมาได้เป็นจำนวนมากและจะทิ้งเวลาขับถ่ายออกไปได้นานกว่าจะมาขับถ่ายอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามจากการที่เราได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยว 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ทำให้เราได้ข้อคิดว่าการดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเพื่อล้างตับหากสามารถทำให้ลำไส้สะอาดได้รวดเร็ว ก็ยังไม่จำเป็นต้องรออดอาหารเป็นเวลาหลายๆวันเหมือนกับการล้างลำไส้ ในขณะเดียวกันในช่วงการอดอาหารรอบหนึ่งก็สามารถดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยวได้มากกว่า 1 ครั้ง (หากมีกำลังเพียงพอ)
ปรากฏว่าที่ ศูนย์ล้างพิษที่ ศีรษะอโศก จ. ศรีสะเกษ และ ศูนย์ล้างพิษตับแบบองค์รวม ธัญสมุย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้พัฒนาจัดให้มีการดื่มน้ำมันมะกอกมากกว่า 1 ครั้งแล้ว สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นในการล้างพิษตับมากเป็นพิเศษ และต้องยังมีกำลังที่สามารถทำได้ ในบางคนทำได้ถึง 3-4 ครั้งในระหว่างการอดอาหารหลายวันนั้น ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ดีเป็นที่น่าพอใจเช่นกัน และถือว่าคุ้มเพราะอดอาหารรอบเดียวซึ่งใช้เวลาหลายวันและสามารถล้างพิษตับได้หลายรอบด้วย
หลังจากหลักสูตรล้างพิษครั้งนี้ผ่านไป "อาเปิ้ม" หรือ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ได้เกิดแรงบันดาลใจในการสานต่อและพัฒนาเรื่องน้ำหมักเอนไซม์ในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและให้มีผลทดสอบทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ด้าน อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ถึงขนาดเกิดแรงบันดาลใจเตรียมไปสมัครเรียนต่อปริญญาเอกด้านไบโอเทคที่ไต้หวันเพื่อให้ได้ความรู้ในด้านนี้เพิ่มเติม และเชื่อว่าจะสามารถพัฒนาหลักสูตรการล้างพิษให้ก้าวไกลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อีกมากอย่างแน่นอน
ส่วนสูตรที่พัฒนาและปรับปรุงใหม่แล้วจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามในโอกาสต่อไป !!!