คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ยุทธการป่วนเมืองโดยปฏิบัติการคาร์บอมบ์และระเบิดเพลิงของ “อาร์เคเค” ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี เมื่อคืนวันเสาร์ต่อเนื่องถึงเที่ยงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (16-17 ก.พ.) ไม่ได้อยู่เหนือความคาดการณ์ของหน่วยข่าวความมั่นคงแต่อย่างใด
เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่อาร์เคเคนำกำลังบุกเข้าโจมตีฐานหน่วยเฉพาะกิจ มว.ปล.ที่ 2 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส จน “ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเนต” ต้องสูญเสียอาร์เคเคถึง 17 ศพ จากการปะทะกับ ฉก.นย. หน่วยข่าวในพื้นที่ต่างเกาะติดความเคลื่อนไหวของ “แกนนำ” จนรู้ว่าจะมีการส่ง “แนวร่วมนอกพื้นที่” ประสานงานกับ “แนวร่วมในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี” เพื่อวางระเบิดจำนวน 50 เป้าหมายในคืนเดียว
จาก “การข่าว” ที่รายงานเข้ามาอย่างทันท่วงที กำลังทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองจึงได้วางแผน “ตั้งรับ” วางกำลังในพื้นที่เสี่ยง มีการตั้งจุดตรวจและจุดสกัดตามเส้นทางต่างๆ ที่จะเข้าเมืองปัตตานีเพื่อป้องกันเหตุร้าย แต่สุดท้ายแนวร่วมนอกพื้นที่ก็ยังสามารถเล็ดลอดเข้าไปร่วมมือกับแนวร่วมในพื้นที่ก่อเหตุร้าย ด้วยคาร์บอมบ์และระเบิดเพลิงได้นับ 10 จุด
สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับบ้านเรือนของประชาชน ร้านค้าและศูนย์การค้ากลางใจเมืองปัตตานี แม้จะไม่ร้ายแรงเท่ากับปฏิบัติการเผาเมืองที่เคยเกิดขึ้นในเขตเทศบาลนครยะลา แต่ก็เป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของประชาชนให้ “หวั่นไหว” ได้ ซึ่งนอกจากทรัพย์สินของประชาชนจะเสียหายยับเยินแล้ว ยังเกิดการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ อส.ไปอีก 3 ราย และประชาชนบาดเจ็บอีก 10 คน
สิ่งที่น่าสังเกตกับปฏิบัติการเผาเมืองปัตตานีของอาร์เคเคในครั้งนี้คือ หลายจุดที่เกิดระเบิดไม่ได้วางแผนเพื่อให้เกิดคนตายหรือคนเจ็บเพียงอย่างเดียว แต่หวังผลเพื่อ “วางเพลิง” โดยมีการเตรียม “น้ำมันเบนซิน” บรรจุแกลลอนนับสิบใบ เพื่อให้น้ำมันเบนซินเป็นตัวช่วยในการลุกไหม้เผาผลาญบ้านเรือนประชาชน รวมทั้งจุดที่มีการวางแผนเพื่อเผาอยู่ใกล้กับ “ปั๊มน้ำมัน”
แต่นับเป็นโชคดีของชาวเมืองปัตตานีที่ระเบิดลูกนี้ ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำในเบนซินเกิดด้าน และเจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้ทัน ถ้าระเบิดลูกนี้เกิดระเบิดขึ้นมาเชื่อว่าค่ำคืนในกลางดึกวันเสาร์ที่ผ่านมา เชื่อว่าจะกลายเป็นคืน “กาฬปักษ์” ที่ต้องสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นจากการเข้า “ตีซ้ำ” ของแนวร่วมอย่างสยดสยอง
แน่นอนว่างาน “ป้องกันรักษาความปลอดภัย” เป็นงานที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ และเป็นงานที่ถูกทุกภาคส่วน “ข้องใจ” และ “ตำหนิ” เจ้าหน้าที่มาโดยตลอด เพราะระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมางานรักษาความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไม่ประสพความสำเร็จ จนทำให้ 9 ปีมีคนตายกว่า 5,000 ชีวิต และบาเจ็บอีกกว่า 10,000 ชีวิต
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้สิ่งที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าของ “กองทัพ” ของ “ตำรวจ” และของ “ฝ่ายปกครอง” คือ ต้องเน้นงานป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอันดับแรก?!
ส่วนจะทำอย่างไรนั้น เป็นหน้าที่ของ “พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในการปรับแผนหรือวางยุทธวิธีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และก้าวให้ทันหรือให้เร็วกว่าแผนของอาร์เคเคที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
ต้องมีการ “แบ่งพื้นที่” ให้ชัดเจนระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบ ต้องปรับปรุงงานด้าน “การข่าว” การเปิดแผน “รุก” ต่อเป้าหมายของขบวนการ และการตั้ง “รับ” การปฏิบัติการของขบวนการให้เป็นไปในลักษณะ “มวลชนดี การข่าวดี ตั้งรับดี และรุกสู่เป้าหมายอย่างได้ผล”
การที่ ฉก.นย.มว.ปล.ที่ 2 ได้รับชัยชนะเหนืออาร์เคเคกลุ่ม “มะรอโซ จันทรวดี” ที่นำกำลังไปสูญเสีย 17 ศพ ไม่ใช่ชัยชนะที่ถาวร และอย่าดีใจกับชัยชนะในครั้งนี้ เพราะหลังการสูญเสียชองนายมะรอโซ ก็มีการตั้ง “มูหะหมัด โบกี” ขึ้นมาเป็นหัวหน้าที่แทน เพื่อเป็น ผบ.ร้อยของอาร์เคเคกลุ่มนี้ ซึ่งแน่นอนว่านายมูหะหมัดจะต้องแสดงฝีมือปฏิบัติการเพื่อสร้างความสูญเสียให้กับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” และเป้าหมาย “อ่อนแอ” เพื่อสร้างผลงาน สร้างขวัญและกำลังใจให้กับนักรบในกลุ่มของตนเอง
ดังนั้น ในช่วงเดือน ก.พ.ต่อเนื่องถึงเดือน มี.ค.นี้จึงเป็นเดือนที่ “ระอุอ้าว” ด้วยภัยของการก่อการร้าย ที่ประชาชนในพื้นที่จะต้องรู้จักการป้องกันตนเอง และหน่วยงานของรัฐต้องรับมือกับอาร์เคเคในทุกพื้นที่ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้
สิ่งที่หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกองทัพจะต้องนำไปวิเคราะห์เพื่อแก้ไขคือ 9 ปีที่ผ่านมาทำไมแทนที่กองกำลังของอาร์เคเคจะอ่อนแอลง แต่กลับยิ่งโตขึ้น จนถึงขณะนี้อาร์เคเคมีกำลัง “หน่วยรบ” ถึง 20 กองร้อย มี “ทหารบ้าน” กว่า 50,000 คนเพื่อสนับสนุนหน่วยรบ และมี “แนวร่วม” ขยายตัวถึง 400,000 กว่าคน
อะไรคือ “ปัจจัย” ที่เป็นเหมือน “ปุ๋ย” ชั้นดีในการเร่งการเติบโตของขบวนการแบ่งแยกดินแดน??
และปัญหาสุดท้าย ในขณะที่ติดตามมาจากกรณีตายหมู่ 17 ศพคือ เรื่องของการ “เยียวยา” ที่สร้างความสันสน ความไม่พอใจให้กับขึ้นในสังคมของคนหมู่มาก เพราะมีการเข้าใจว่ารัฐบาลกำลังจ่ายเงินให้กับ “คนร้าย” ในสายตาของคนหมู่มาก กระแสวิพากษ์ด้วยความไม่พอใจเป็นไปอย่างร้อนแรง
แม้ว่า “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ “ศอ.บต.” จะพยายามสื่อถึงประชาชนว่า การเยียวยาต่อครอบครัวผู้หลงผิดทั้ง 17 ครอบครัวในครั้งนี้ ไม่ได้เยียวยาด้วยตัวเงิน และไม่เหมือนกับกรณีเยียวยา “กรือเซะ” และ “ตากใบ” แต่สื่อที่ออกไปยังไม่ดังพอที่จะถึงประชาชนที่มีอารมณ์ของความรู้สึก ซึ่งรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จึงเป็นหน้าที่ของ “รัฐบาล” ที่จะต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งในพื้นที่และในประเทศ ให้เข้าใจถึงเจตนารมณ์และวิธีการของรัฐในการช่วยเหลือครอบครัวผู้ที่คนกลุ่มหนึ่งเรียกว่า “ผู้หลงผิด” ในขณะที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า “คนร้าย” เพราะเรื่องของความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่ง
และหากถูกปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ จะกลายเป็นเรื่องของความ “แปลกแยก” ที่นำมาถึงความ “แตกแยก”ของสังคม และเป็น “อันตราย” ไม่ยิ่งหยอนไปกว่าคาร์บอมบ์ที่เกิดจากอาร์เคเค เพียงแต่เป็น “ระเบิด” ที่อยู่ใน “หัวใจ” ที่พร้อมจะ “ปะทุ” เพื่อให้สถานการณ์ที่ปลายด้ามขวานเลวร้ายยิ่งขึ้น
ระเบิดคาร์บอมบ์ปลดได้ด้วยฝีมือของหน่วยกู้ระเบิด แต่ “ระเบิด” ใน “หัวใจ” ที่รู้สึกถึงความไม่เท่าเทียม ไม่ยุติธรรมและไม่เข้าใจจะปลดอย่างไร? และใครจะเป็นผู้ปลดชนวนระเบิดนี้?
ดังนั้น จึงต้องคิดกันให้ดีและเร่งดำเนินการโดยเร็ว??!!