คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ข้าพเจ้ายืนอยู่ในที่แจ้ง ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนทางสังคมมาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนราษฏร์บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา โรงเรียนคณาศัยวิทยา อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา ในฐานะนายกองค์การนิสิต ปี 2524 หลังจากนั้นก็ในฐานะกวี นักเขียนแนวเพื่อชีวิตและสังคม จบจากสถาบันอุดมศึกษาแล้วไปเป็นผู้นำทางสังคมในฐานะประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย อำเภอร่อนพิบูลย์ และ เลขาธิการสหพันธ์ครูภาคใต้ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนภาคใต้ กรรมาธิการวิสามัญร่างรัฐธรรมนูญ เป็นวิทยากรให้ความรู้ทางด้านการเมือง วรรณกรรม ศิลปวัฒนธรรม คติชนวิทยา จัดรายการวิทยุกระจายเสียง เป็นคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น คมชัดลึก โฟกัสภาคใต้ ภาคใต้ ไทใต้ ผู้จัดการรายวัน กรุงเทพธุรกิจ ได้รับการสัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นและออกรายการต่างๆ ของสถานีโทรทัศน์มากมาย เช่น คุณพระช่วย ตอบโจทย์ประเทศไทย ไทยพีบีเอส ช่อง 7 สี ฯลฯ เขียนบทความลงตีพิมพ์เผยแพร่ในมติชนรายวัน สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ข่าวสด ฯลฯ ข้าพเจ้าใช้ชื่อจริงนามสกุลจริงในการแสดงความคิดเห็น จนเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญทางจริยธรรม มีวัฒนธรรมประชาธิปไตยในการแลกเปลี่ยนตามที่พวกมีอารยะจะพึงมี
แต่น่าเสียใจที่คู่ขัดแย้งทางความคิดกับข้าพเจ้า กลับใช้วิธีการของพวกบาบาเรียนในการแลกเปลี่ยนกับข้าพเจ้า กล่าวคือ เป็นพวกอีแอบไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ใช้การกล่าวหาแบบอาศัยความรู้สึกส่วนตัวในการตัดสินทำนอง “กูคือความถูกต้อง” หรือไม่ก็ยืมปากของพระสงฆ์องค์เจ้าแบบฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด (อันนี้พวกทุศีลมักกลบเกลื่อน โดยการอวดอ้างว่าตนเป็นคนใกล้ชิดศาสนา เป็นวิสัยของพวกถ่อยชอบทำกันทั้งเมือง)
ข้าพเจ้าเพิ่งได้อ่านเอกสารหน้าเดียวของผู้ใช้นามว่า “ประชาคมสถาบันทักษิณคดีศึกษา ประชาคมมหาวิทยาลัยทักษิณ” (ไม่แน่ใจว่ากี่คน แต่คาดว่าคงไม่เกิน 5 คน) มีสาระโดยสรุปคือ กล่าวหา “ชายผู้ผิดหวัง” (คงหมายถึงข้าพเจ้า) หรือ “ชายผู้มีน้ำหมึกเป็นอาวุธ” ยืมคำพูดของท่าน ว.วชิระเมธี มาหาว่าข้าพเจ้าเป็น “โรคปากเสีย คือ โรคชอบต่อกรรม วางเฉยไม่เป็น…ทั้งพูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดนินทาผู้อื่น และพูดเรื่องไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์ต่อองค์กรหรือส่วนรวม มีแต่จะสร้างความแตกแยกให้แก่องค์กร คนที่ไม่รู้ก็หลงเชื่อ คิดว่าเป็นความจริง”…
หากข้อกล่าวหาข้างต้นเป็นความจริง แสดงว่าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของข้าพเจ้าทั้งหมดเป็นโมฆะ การที่สถาบันต่างๆ เช่น สถาบันพระปกเกล้า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยป้องกันชุมชน และองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม มูลนิธิฟรีดริชเนามัน ฯลฯ ที่เคยเชิญข้าพเจ้าไปเป็นวิทยากรให้ความรู้ ความคิดเห็นและเปลี่ยนทัศนะ ต้องสูญเงินเปล่าครั้งละจำนวนมากมาย ทำไมองค์กรเหล่านี้จึงไม่เชิญเจ้าของความคิดเห็นในเอกสารฉบับนี้ไปบ้าง เพราะดูจากเอกสารที่นำเสนอแสดงถึงวุฒิภาวะและภูมิปัญญาที่เลอเลิศเสียเหลือเกิน
แม้ข้าพเจ้าจะรู้ดีแก่ใจว่า สัตว์โลกตามทัศนะของศาสดา เปรียบเสมือนดอกบัวสี่เหล่า หรือสัตว์โลกแบ่งเป็นสองจำพวกใหญ่ๆ คือ เวไนยสัตว์ กับ อเวไนยสัตว์ ปราชญ์เคยกล่าวเตือนไว้ว่า การถกเถียงกับคนโง่ พูดคนเดียวเสียยังจะดีกว่า แต่ข้าพเจ้าเพียงอยากจะสื่อสารกับคนอื่นที่มีโอกาสได้รับรู้ หรือพบเห็นตรรกะแบบนี้ จะได้เข้าใจและรู้เท่าทันว่า มันเป็นวัฒนธรรมในการแลกเปลี่ยนที่ไม่เหมาะกับสังคมประชาธิปไตย เราไม่ควรจะไปเสียเวลากับสัตว์มนุษย์ที่ไร้เหตุผล ไม่ยอมรับความจริง ไม่นำเสนอประเด็นและแก้ประเด็นที่ถกเถียง แต่พยายามสรุปฟันธงว่า คนอื่นผิด คนอื่นชั่ว ตัวเองถูกต้อง รักความเป็นธรรมเป็นบ้าเลย และใครก็ตามที่แสดงความคิดเห็นในฐานะมนุษย์ที่แตกต่างไปจากเดรัจฉานที่ยอมจำนน และแสดงออกโดยเป็นไปตามอำนาจของแรงขับทางเพศ ล้วนเป็นคนไม่ดีตามหลักศาสนา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงพระพุทธเจ้ามีหลักกาลามสูตรให้มนุษย์ที่แท้มันยึดเหนี่ยว แต่คนพวกนี้กลับไปยึดตรรกะตื้นๆ แบบฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด
สังคมประชาธิปไตย เป็นสังคมของเวไนยสัตว์ สังคมของมนุษย์ที่มีเหตุผล เป็นพวกเหตุผลนิยม ไม่ใช่พวกจิตนิยม วัฒนธรรมประชาธิปไตยจะเกิดได้เฉพาะในสังคม “มนุษย์นิเวศ” เท่านั้น “เดรัจฉานนิเวศ” อย่างที่คนพวกนี้ดำรงอยู่ มันไม่อาจจะสร้างสังคมประชาธิปไตยได้หรอก
ออกมายืนในที่แจ้งอย่างผู้มีความกล้าหาญทางจริยธรรมเถิด อย่าแอบซ่อนอยู่ในมุมมืดอีกเลย มันไม่มีค่า ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความเป็นมนุษย์ ออกจากความโกหกพกลม มาสู่ความจริง ถ้าแน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองพูด และตัวเองทำถูกต้อง ข้าพเจ้าพร้อมจะแลกเปลี่ยนกันในทุกกาลทุกที่ เพื่อให้คนอื่นได้ตัดสิน แทนที่จะผูกขาดความจริง สงวนความถูกต้องไว้เฉพาะคนเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป.