คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และรู้เรื่องของชาวโรฮิงญาดี จะไม่ตื่นเต้นกับของชาวโรฮิงญา ที่เดินทางเข้ามาในภาคใต้ตอนล่าง ทั้งใน จ.สตูล จ.สงขลา และ จ.นราธิวาส
เหตุผลคือ ทุกปีของฤดูกาลที่คลื่นลมในมหาสมุทรอินเดีย หรือทะเลอันดามันสงบ “มนุษย์เรือ” ที่จากแคว้นยะไข่ หรืออาระกันของประเทศพม่า ซึ่งเป็นคน “ไร้รัฐ” จำนวนนับหมื่นคนจะเดินทางมายังประเทศไทย โดยส่วนใหญ่จะขึ้นฝั่งทางด้าน จ.ระนองเป็นหลัก ในขณะที่บางส่วนก็ลักลอบขึ้นฝั่งทางชายทะเลด้าน จ.สตูล ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางมายังชายแดนไทย-มาเลเซียทางด้าน อ.สะเดา จ.สงขลา และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อรอ “นายหน้า” ส่งออกไปยังประเทศมาเลเซีย
สรุปสั่นๆ ง่ายๆ คือ จุดหมายปลายทางของคนไร้รัฐ หรือชาวโรฮิงญาเกือบทั้งหมดไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ยกเว้นบางกลุ่ม บางส่วนที่มีญาติพี่น้องอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก่อนหน้าแล้ว และมีช่องทางให้ผู้ที่มาที่หลังตามมาอยู่ด้วยแบบการหลบหนีเข้าเมือง แต่โดยข้อเท็จจริงชาวโรฮิงญาเพียงขอผ่านประเทศไทยไปยังประเทศที่สาม เพื่อทำงาน เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น
ดังนั้น ในพื้นที่ชายแดนใต้ ไม่ว่าจะชายแดนที่ ต.ปาดังเบซาร์ หรือ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา และชายแดนด้าน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จึงเป็นที่พักพิงของกลุ่มผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นภาพที่คนไทยในพื้นที่ “คุ้นชิน” มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เพราะจะมีนายหน้า ซึ่งเป็นขบวนการค้ามนุษย์เป็นผู้จัดหาไว้ให้ เพื่อรอจังหวะในการนำชาวโรฮิงญาเหล่านี้ไปยังประเทศมาเลเซีย
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกปี หรือทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากมีชาวโรฮิงญากลุ่มหนึ่งที่ขบวนการค้ามนุษย์ใน ต.ปาดังเบซาร์ และ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ถูกกำลังชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อนของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” บุกเข้าจับกุมก่อนที่จะมีการส่งออกไปยังประเทศมาเลเซีย จนกลายเป็นข่าวโด่งดัง และทำให้มีการจับกุมชาวโรฮิงญาที่หลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ต่างๆ เช่นที่ จ.สตูล จ.นราธิวาส และที่อื่นๆ รวมทั้งขณะที่อยู่ระหว่างการเดินทางในท้องทะเล
เรื่องของมนุษย์เรือ เรื่องของคนไร้รัฐ อย่างชาวโรฮิงญาจึงเป็นที่โด่งดังและสังคมให้ความสนใจ กลายเป็นปัญหา “มนุษย์ธรรม” เกิดขึ้นมาแทน เพราะหลายฝ่ายคัดค้านการส่งตัวกลับประเทศ และมีความเห็นให้ประเทศไทยรับคนเหล่านั้นไว้ เพื่อหาแนวทางส่งไปยังประเทศที่ 3
ดังนั้น ณ วันนี้ผู้อพยพชาวโรฮิงญาจึงได้กลายเป็นปัญหาของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว ทั้งที่ในอดีตประเทศไทยเป็นเพียงทางผ่าน ไม่ใช่จุดหมายของชาวโรฮิงญาแต่อย่างใด
เมื่อเป็นอย่างนี้ แน่นอนว่าในอนาคตจำนวนมนุษย์เรือชาวโรฮิงญาที่อยู่ในแคว้นยะไข่ประเทศพม่ากว่า 1.5 ล้านคน พวกเขาจะต้องดำเนินการทุกวิถีทาง ทั้งว่าจ้างนายหน้าและเดินทางด้วยตนเอง เพื่อมาให้ถูกจับกุมที่ประเทศไทย เพื่อที่จะได้มีที่อยู่ ที่กิน ก่อนที่จะเดินทางไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมีประเทศไหนที่จะรับคนไร้รัฐเหล่านี้ไปอยู่ในประเทศของเขา
และปัญหาที่ติดตามมาจึงคือ ขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคใต้ตอนล่าง ก็จะเริงร่าอ้าแขนรับชาวโรฮิงญาเพื่อส่งไปขายให้เป็นแรงงานในประเทศเพื่อนบ้านได้สะดวกขึ้น เพราะประเทศไทยกลายเป็นที่พักพิงของโรฮิงญาไปแล้ว
ดังนั้น ขบวนการค้ามนุษย์ ที่ประกอบด้วยชาวพม่า ชาวโรฮิงญาด้วยกัน รวมถึงคนไทยกับคนมาเลเซียด้วย พวกเขาก็จะตัดตวงผลประโยชน์จากการค้ามนุษย์ได้มากขึ้น
ขบวนการค้ามนุษย์ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่สำคัญที่สุดคือ “นายหน้า” ในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา และในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นระดับ “นายกฯ” และ “รองนายกฯ” รวมถึง “ผู้นำท้องถิ่น” และ “กลุ่มอิทธิพล” ที่มีเครือข่ายหากินอยู่กับนายหน้าค้ามนุษย์ของประเทศมาเลเซีย และเครือข่ายนายหน้าค้ามนุษย์ทั้งหมดมีการเชื่อมโยงกับ “เจ้าหน้าที่” ในพื้นที่ ทั้งตรวจคนเข้าเมือง ทั้งฝ่ายปกครองและตำรวจ ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกัน
ขบวนการค้ามนุษย์ขบวนการนี้ไม่ได้ส่งออกเฉพาะชาวโรฮิงญาเท่านั้น แต่เป็นกลุ่มส่งออกมนุษย์จากทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว เขมรและชาติอื่นๆ
โดยเฉพาะใน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เป็นแหล่งส่งออกชาวเขมรที่เป็น “มุสลิม” จากจังหวัดกัมปงโสม กัมปงทม และ กำปงชะนัง ในประเทศกัมพูชา ซึ่งเดินทางผ่าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เดือนละนับพันคนมายัง อ.สุไหงโก-ลก เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศมาเลเซีย
อีกทั้ง อ.สะเดา จ.สงขลา และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ยังเป็นเส้นทางค้ามนุษย์ที่เป็นผู้หญิงทั้งชาวลาว พม่าและเขมรที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้
ดังนี้แล้ว เมื่อมีคนนำเรื่องเก่ามาทำให้เป็นเรื่องใหม่ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเกี่ยวพันกับปัญหาความมั่นคงของประเทศไปแล้วนั้น จึงต้องทำให้ถึงที่สุดคือ นับตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าหน้าที่จะต้องเข้มงวด หรือเอาจริงเอาจังกับขบวนการค้ามนุษย์ที่มีเครือข่ายในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะใน จ.สงขลา และ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายในการส่งออกมนุษย์ทุกประเภท
ที่สำคัญต้องเร่งดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตรวจคนเข้าเมือง ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ และการทำเอกสารปลอมให้กับคนเหล่านั้นให้สามารถเดินทาง เข้า-ออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียได้ ซึ่งทำกันมานานและเป็นขบวนการ
ส่วนเรื่องสำคัญที่สุดคือ รัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนว่า จะทำอย่างไรกับชาวโรฮิงญาจำนวนมากที่อยู่ในศูนย์พักพิงต่างๆ เพราะหากรัฐบาลไม่มีนโนบายที่ชัดเจน และยึดเอาเพียงเรื่องมนุษย์ธรรมเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียว ในไม่ช้าภาคใต้ของไทยอาจจะกลายเป็น “รัฐอาระกัน” แห่งที่ 2
เนื่องเพราะจะมีชาวโรฮิงญาเดินทางมายังภาคใต้ของประเทศไทยอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากแสนคน เป็นล้านคน สุดท้ายคนไร้รัฐที่เป็นชาวโรฮิงญาเหล่านี้ก็จะกลายเป็น “ปัญหาความมั่นคง” ที่ยากแก่การแก้ไขของรัฐไทย
สรุปให้ชัดเจนคือ ใครเรียนผูก ต้องเรียนแก้ เพราะปัญหาบางเรื่อง บางประเด็น ก่อนที่จะดำเนินการต้องมีการศึกษาให้รอบคอบและชัดเจน ปัญหาอยู่ที่ไหน ต้องแก้ตรงนั้น และต้องแก้ให้สะเด็ดน้ำ ไม่ใช่ทำปัญหาเล็กให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ แล้วสุดท้ายก็ทิ้งปัญหาให้หน่วยงานอื่นๆ เป็นผู้แก้ไข
แน่นอนว่า ประเทศไทยเป็น “เมืองพุทธ” ที่ต้องยึดมั่นใน “มนุษย์ธรรม” แต่การเป็น “ม้าอารี” ต้องมีขอบเขต และประเทศจะอยู่อย่างมั่นคงต้องมี “นิติรัฐ” เป็นที่ตั้ง
วันนี้เรื่องของชาวโรฮิงญาได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาล กองทัพ รวมถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน