ตรัง - ป.ป.ช.เตรียมลงพื้นที่ 18 ม.ค.นี้ ติดตามผลกรณีร้องอดีต รก.มทร.ตรัง กับพวก สร้างโรงแรม 125 ล้านรุกป่าชายเลน หลังจากมีการยุติคดีไปแล้ว เพราะพบหลักฐานใหม่ชี้ความผิดชัด
วันนี้ (17 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ตรัง ว่า จากกรณีที่ชาวบ้าน ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา ได้นำหลักฐานเข้าร้องเรียนกล่าวหาว่า รศ.ประชีพ ชูพันธ์ รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (มทร.) วิทยาเขตตรัง พร้อมพวก ได้บุกรุกแผ้วถางป่าในป่าสงวนแห่งชาติ ปากคลองกาเส และปากคลองไม้ตาย ม.3 ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา เพื่อนำพื้นที่ไปปลูกปาล์ม และยังรู้เห็นเป็นใจให้ผู้รับเหมาตัดไม้โกงกางในป่าชายเลนมาสร้างอาคารปฏิบัติการโรงแรม และการท่องเที่ยว โดยใช้งบประมาณ 125 ล้านบาท ในชายหาดวิวาห์ใต้สมุทร
ซึ่งต่อมา กรมป่าไม้ และผู้เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคาร และพบว่าพื้นที่ก่อสร้างอยู่นอกเขตที่ทางมหาวิทยาลัยได้ขออนุญาตใช้พื้นที่ จำนวน 1,700 ไร่ ตามมติ ครม.2533 และยังอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยพบเนื้อที่บุกรุก จำนวน 21 ไร่ ดังนั้น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้ตรวจยึดพื้นที่ทั้งหมด รวมทั้งตัวอาคารที่กำลังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ พร้อมกับแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้บริหาร มทร. กับผู้รับเหมา ในข้อหากระทำทำผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2481 และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 รวมทั้งสั่งให้ยุติการก่อสร้างทั้งหมด จนกว่าคดีจะแล้วเสร็จ หลังจากนั้น หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ได้ลงพื้นที่สอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง และสรุปสำนวนส่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
สำหรับความคืบหน้า มีรายงานว่า ผศ.เรวัตร เจยาคม อดีตประธานสภาคณาจารย์ และข้าราชการ มทร.สงขลา ได้ทำหนังสือสอบถามความคืบหน้า และผลการดำเนินการคดีดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และต่อมา ทาง สกอ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ในกรณีที่ มทร.ตรัง ได้ก่อสร้างอาคารรุกล้ำป่าชายเลน
โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดดังกล่าว ได้มีการพิจารณาเห็นชอบตามความเห็นของพนักงานอัยการ จ.ตรัง ที่มีคำสั่งไม่ฟ้องนายประชีพ กับพวก โดยเห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ใดต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินยังมีความเห็นในกรณีดังกล่าวว่า ยังไม่สามารถชี้ได้ว่าเกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ดังนั้น เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2555 ทาง สกอ.จึงได้ส่งสำนวนการสอบสวน พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานให้กระทรวงการคลังพิจารณาตรวจสอบตามกฎหมาย ซึ่งยังไม่ทราบผล
อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กลับสั่งให้รื้อคดีนี้ขึ้นมาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง เนื่องจากพบหลักฐานใหม่ที่แสดงให้เห็นว่า นายประชีพ กับพวก มีเจตนาบุกรุกป่าชายเลนจริง เช่นเดียวกับ นายสมควร ขันเงิน นายอำเภอสิเกา และ พ.ต.อ.วิชัย อินทรวงศ์ ผกก.สภ.สิเกา ก็ได้ร่วมกันสั่งฟ้องนายประชีพ กับพวกใหม่อีกครั้ง ก่อนที่จะส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการจังหวัดตรัง ดำเนินการ
โดยล่าสุด มีรายงานว่า ในวันที่ 18 ม.ค.นี้ คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นประธาน พร้อมคณะ จะเดินทางมาติดตามเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการก่อสร้างอาคาร มทร.ตรัง โดยจะมีการเดินทางไปตรวจสอบพื้นที่การก่อสร้าง และรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้ง 9 คน ได้แก่ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายอำเภอสิเกา ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 (นครศรีธรรมราช) เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ตรัง ผกก.สภ.สิเกา คณะกรรมการตรวจการจ้าง และ หสน.มหานครการช่าง ซึ่งเป็นผู้รับเหมามาให้ข้อมูลด้วย
วันนี้ (17 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ตรัง ว่า จากกรณีที่ชาวบ้าน ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา ได้นำหลักฐานเข้าร้องเรียนกล่าวหาว่า รศ.ประชีพ ชูพันธ์ รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (มทร.) วิทยาเขตตรัง พร้อมพวก ได้บุกรุกแผ้วถางป่าในป่าสงวนแห่งชาติ ปากคลองกาเส และปากคลองไม้ตาย ม.3 ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา เพื่อนำพื้นที่ไปปลูกปาล์ม และยังรู้เห็นเป็นใจให้ผู้รับเหมาตัดไม้โกงกางในป่าชายเลนมาสร้างอาคารปฏิบัติการโรงแรม และการท่องเที่ยว โดยใช้งบประมาณ 125 ล้านบาท ในชายหาดวิวาห์ใต้สมุทร
ซึ่งต่อมา กรมป่าไม้ และผู้เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคาร และพบว่าพื้นที่ก่อสร้างอยู่นอกเขตที่ทางมหาวิทยาลัยได้ขออนุญาตใช้พื้นที่ จำนวน 1,700 ไร่ ตามมติ ครม.2533 และยังอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยพบเนื้อที่บุกรุก จำนวน 21 ไร่ ดังนั้น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้ตรวจยึดพื้นที่ทั้งหมด รวมทั้งตัวอาคารที่กำลังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ พร้อมกับแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้บริหาร มทร. กับผู้รับเหมา ในข้อหากระทำทำผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2481 และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 รวมทั้งสั่งให้ยุติการก่อสร้างทั้งหมด จนกว่าคดีจะแล้วเสร็จ หลังจากนั้น หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ได้ลงพื้นที่สอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง และสรุปสำนวนส่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
สำหรับความคืบหน้า มีรายงานว่า ผศ.เรวัตร เจยาคม อดีตประธานสภาคณาจารย์ และข้าราชการ มทร.สงขลา ได้ทำหนังสือสอบถามความคืบหน้า และผลการดำเนินการคดีดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และต่อมา ทาง สกอ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ในกรณีที่ มทร.ตรัง ได้ก่อสร้างอาคารรุกล้ำป่าชายเลน
โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดดังกล่าว ได้มีการพิจารณาเห็นชอบตามความเห็นของพนักงานอัยการ จ.ตรัง ที่มีคำสั่งไม่ฟ้องนายประชีพ กับพวก โดยเห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ใดต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินยังมีความเห็นในกรณีดังกล่าวว่า ยังไม่สามารถชี้ได้ว่าเกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ดังนั้น เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2555 ทาง สกอ.จึงได้ส่งสำนวนการสอบสวน พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานให้กระทรวงการคลังพิจารณาตรวจสอบตามกฎหมาย ซึ่งยังไม่ทราบผล
อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กลับสั่งให้รื้อคดีนี้ขึ้นมาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง เนื่องจากพบหลักฐานใหม่ที่แสดงให้เห็นว่า นายประชีพ กับพวก มีเจตนาบุกรุกป่าชายเลนจริง เช่นเดียวกับ นายสมควร ขันเงิน นายอำเภอสิเกา และ พ.ต.อ.วิชัย อินทรวงศ์ ผกก.สภ.สิเกา ก็ได้ร่วมกันสั่งฟ้องนายประชีพ กับพวกใหม่อีกครั้ง ก่อนที่จะส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการจังหวัดตรัง ดำเนินการ
โดยล่าสุด มีรายงานว่า ในวันที่ 18 ม.ค.นี้ คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นประธาน พร้อมคณะ จะเดินทางมาติดตามเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการก่อสร้างอาคาร มทร.ตรัง โดยจะมีการเดินทางไปตรวจสอบพื้นที่การก่อสร้าง และรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้ง 9 คน ได้แก่ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายอำเภอสิเกา ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 (นครศรีธรรมราช) เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ตรัง ผกก.สภ.สิเกา คณะกรรมการตรวจการจ้าง และ หสน.มหานครการช่าง ซึ่งเป็นผู้รับเหมามาให้ข้อมูลด้วย
