โดย...มุกตา อาหมัด
แม้การชุมนุมโดยสันติวิธีของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือการชุมนุมของ “องค์การพิทักษ์สยาม” เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนยุติลงแล้ว สิ่งที่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้สังคมการเมืองไทยยุคทุนนิยมสามานย์ครองเมืองยังคงมีอยู่ในหัวใจของบรรดาผู้รักความเป็นธรรมทั้งหลายที่กระจัดกระจายตามภูมิภาคต่างๆ ยังเต็มเปี่ยมด้วยพลัง พร้อมสละเวลาเพื่อชาติบ้านเมือง ทั้งยังตอกย้ำให้สังคมเห็นว่า พลังบริสุทธิ์นั้นมีทุกยุคสมัย
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จากการนำของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ต่อสู้กับระบอบทักษินทั้งสิ้นมายาวนาน และประสบความสำเร็จ ก็จะไม่ค่อยมีให้เห็นกลุ่มอื่นใดได้เดินเจริญรอยตามให้เห็นเป็นกลุ่มก้อน และสามารถแสดงพลังให้ระบอบทักษิณหวั่นไหว เหมือนเช่นพลังของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อีกเลย
แต่การเกิดขึ้นของม็อบ เสธ.อ้ายทั้งสองครั้ง ที่เรียกให้ประชาชนผู้รักความเป็นธรรม และเกลียดชังระบอบทักษิณออกไปสู่ท้องถนนหลายหมื่นคนนั้น นับว่าเป็นปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ภาพของประชาชนหญิงชายเดินทางออกมาจากบ้านด้วยความคาดหวังอยากเห็นเมืองไทยเปลี่ยนแปลง ภายหลังจากรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์บริหารประเทศหมดความน่าเชื่อถือทุกๆ ด้าน เหมือนน้ำเสียงตะโกนดังๆ บอกทักษิณ และสาวกทั้งหลายว่า พลังประชาชนนั้นไม่มีวันมอดดับ ตรงกันข้าม มันจะยิ่งต่อยอดงดงามในแผ่นดินที่มืดบอดด้วยความหวังเช่นเดียวกับประเทศไทยยามนี้
ประชาชนผู้เดินทางคนละเส้นทางกับมวลชนคนเสื้อแดง ผู้ซึ่งไม่นิยมระบอบทักษิณต่างเสียสละเวลาส่วนตัว ออกมาแสดงพลังด้วยใจต่อใจเข้าร่วมชุมนุมหลายหมื่นคน พวกเขาเป็นกลุ่มปัญญาชน เต็มเปี่ยมด้วยความรู้ และประสบการณ์ที่พร้อมต่อยอดจากหนึ่งเป็นสอง สาม สี่ ผ่านการพูดคุย อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนใกล้ชิดรับรู้ความจริงอีกด้านหนึ่ง ที่ระบอบทักษิณ และบริวารปิดบังสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
ผู้รักชาติเหล่านี้เสมือนทรัพยากรอันมีค่ายิ่งของประเทศไทยในยุคบริโภคนิยม ที่ผู้คนมักเห็นประโยชน์ตนเองมากกว่าส่วนรวม พวกเขาคือนักต่อสู้ร่วมสมัยที่พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว หากถึงเวลาพวกเขาพร้อมเดินออกจากบ้าน ด้วยความหวังที่จะเป็นหนึ่งพลัง คอยเป็นแนวร่วมผลักดัน อยากให้บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ในวันที่ เสธ.อ้ายประกาศวางมือเป็นผู้นำม็อบอย่างถาวร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพลังประชาชนหลายหมื่นคนจะยุติด้วย พวกเขายังอยู่ และเปี่ยมด้วยพลังพร้อมร่วมสมทบกับผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ในครั้งต่อๆ ไปด้วยความเข้มแข็ง พวกเขาพร้อมเสมอที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคร้ายที่กัดกร่อนเมืองไทยตลอดเวลา
นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเหล่านั้นเป็นกลุ่มคนที่สมควรแก่การยกย่องสรรเสริญ ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพื่อต่อสู้ฟาดฟันกับสิ่งไม่ถูกต้อง เป็นแบบอย่างของความดีงาม แม้พวกเขาถูกตราหน้าว่าเป็นนักก่อกวนแห่งท้องถนนที่ไม่ยอมสู้ตามกฎกติกา แต่นักต่อสู้ตามท้องถนนเช่นนี้แหละที่ทำให้เผด็จการน้ำตาตกมานักต่อนักแล้วไม่ใช่หรือ
ในขณะทุนนิยมสามานย์ครอบงำ เล่นการเมืองด้วยเหลี่ยมเล่ห์เพทุบาย จากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่ง จากวิธีการหนึ่งไปสู่อีกวิธีการหนึ่ง เพื่อจะปักธงเหนือราชอาณาจักรไทย เสมือนกลุ่มโจรที่คอยทำร้ายบ้านเกิดตนเองไม่สิ้นสุด
แต่ภาพคลื่นมหาชนได้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า พลังของประชาชนก็ยังดำรงอยู่ และพวกเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัวกับผู้คิดคดทรยศต่อประเทศชาติอย่างไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกัน