หลังจากการชุมนุมครั้งแรกที่สนามม้านางเลิ้ง เสียงดูหมิ่นดูแคลนม็อบ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่ว่าเป็นม็อบกระจอกสิ้นไร้ไม้ตอก มีคนมาร่วมไม่น่าจะเกิน 1,500 คนก็หมดไป
พอมีการนัดชุมนุมครั้งที่ 2 ที่จะเป็นวันที่ 24 พฤศจิกายน รัฐบาลก็ออกอาการวิตกกังวล
มือตีนของรัฐบาลส่วนหนึ่งวิ่งไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่มีพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นประธาน
รัฐธรรมนูญ ส่วนที่ 11 เสรีภาพในการชุมนุมและการสมาคม มาตรา 63 เขียนไว้ว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใช้กฎอัยการศึก
การชุมนุมครั้งแรกขององค์การพิทักษ์สยาม เป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ชุมนุมแสดงความคิดความเห็น ให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมการชุมนุมว่า ปีกว่าๆ ภายใต้การบริหารของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หุ่นเชิดของ ทักษิณ ชินวัตร บ้านเมืองเสียหายอย่างไร ขืนปล่อยต่อไปจะลงสู่หุบเหวเข้ารกเข้าพงอย่างไร แล้วการชุมนุมก็เสร็จสิ้นลงด้วยความเรียบร้อย
นัดวันเจอกันใหม่ซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้ เป็นวันนัดที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ร. 5)
มีเหตุผลอะไรที่จะมาห้ามการชุมนุมครั้งใหม่นี้ ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือ ประเทศอยู่ระหว่างสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ หรืออยู่ระหว่างประกาศกฎอัยการศึก
ผู้ชุมนุมสะสมอาวุธไหม ไม่มีอาวุธ ไม่มีปืน ไม่มีระเบิด ไม่มียางรถยนต์ และไม่มีขวดบรรจุน้ำมันมาคนละลิตรเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน
นางสาวยิ่งลักษณ์บอกว่า ปัญหาของบ้านเมืองให้แก้กันที่สภา
นั่นเป็นการพูดโดยที่ไม่ได้ส่องกระจกดูตัวเอง เมื่อเมษายน 2553 นางสาวยิ่งลักษณ์จำไม่ได้หรือว่าไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง หนึ่งในแกนนำบอกให้เอาขวดเปล่ามาหาน้ำมันเอาข้างหน้า ล้านขวดล้านลิตร กรุงเทพฯ ก็จะเป็นทะเลเพลิง แล้วการชุมนุมก็จบลงด้วยการเผาร้านค้า เผาศูนย์การค้า หวังจะให้กรุงเทพฯ เป็นทะเลเพลิงจริงๆ
หัวโจกของการชุมนุมคราวนั้นซึ่งอยู่ต่างประเทศบอกว่าเกิดอะไรขึ้นให้ไปที่ศาลากลางจังหวัด
แล้วในที่สุด ศาลากลางจังหวัดก็วอดอยู่ในกองเพลิงจริงๆ ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินซึ่งก็คือภาษีของประชาชนสร้างขึ้นใหม่
อาจจะเพราะเคยชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง ใช้ปืน ใช้ระเบิด ใช้ไฟ กดดันรัฐบาล (นายอภิสิทธิ์) ก็เลยคิดว่า การชุมนุมของกลุ่มอื่นที่ไม่ได้สนับสนุนตัวจะทำเช่นเดียวกับกลุ่มที่สนับสนุนตัวเคยทำ จึงได้ปริวิตกวิจารณ์
คนอย่างนางสาวยิ่งลักษณ์เคยให้ความสำคัญกับการประชุมสภาเพื่อแก้ปัญหาของประเทศชาติ จริงๆ หรือ?
ที่ตั้งคำถามเช่นนี้เพราะปีกว่าๆ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีเคยได้ยินแต่ข่าวการหนีประชุมสภาเป็นกิจวัตร หนีการตอบกระทู้เป็นอาจิณ แม้เมื่อบริหารมาครบหนึ่งปีแล้วจะต้องแถลงนโยบายต่อสภาก็ยังไม่แถลง เรื่องนี้มิใช่ความลับรู้กันทั้งสภา ทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ก็น่าจะรู้น่า
แถมวุฒิสภาก็ต้องรู้พฤติกรรมของนางสาวยิ่งลักษณ์
ยังมีหน้ามาสอนชาวบ้าน (ที่เขามีความรู้มีสำนึกดีกว่า) อีกหรือว่าให้นำปัญหาของบ้านเมืองไปแก้กันที่สภา
ปัญหาของบ้านเมืองต้องแก้กันที่สภา ถูกต้อง แต่ไม่ทั้งหมด บางครั้งสภาก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าหากสภานั้นชุ่ย สมาชิกสภานั้นทำตามคำสั่งผู้บงการทุกอย่าง โดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน
ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ เป็นไปได้ยังไง นักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งหลาย นายพลตำรวจ นายพลทหาร อดีตข้าราชการระดับปลัดกระทรวงยอมสยบอยู่กับชายกระโปรงที่ไม่ประสีประสาทางการเมืองอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
ปัญหาของชาติบ้านเมืองมันไม่ได้แก้กันที่สภาอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นรัฐธรรมนูญหมวด 3 เขาไม่เขียนไว้หรอกครับ ถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม โดยสงบ ฯลฯ เอาไว้หรอกครับ
ประชาชนมิได้มีสิทธิเพียงการเดินเข้าไปในคูหากาบัตร ใครชนะก็เอาประเทศไปปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรก็ได้ อย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้
หนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ประชาชนส่วนหนึ่งรู้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์คือหุ่นเชิดของทักษิณ รู้ตั้งแต่มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้สมัครแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อชนะเลือกตั้ง ก็ต้องให้บริหารประเทศเหมือนนายสมัคร สุนทรเวช ถึงจะเกลียดเป็นขี้ แต่พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งก็ต้องให้นายสมัครบริหารประเทศไป
ประชาชนออกมาคัดค้านนายสมัครก็ต่อเมื่อจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะรับใช้ทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูนั่นเอง
นางสาวยิ่งลักษณ์นี่ก็เหมือนกัน เผยหน้าออกมา คนเขาก็รู้แล้วว่า มาเพื่อทักษิณ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ตั้งสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ล็อบบี้ให้ทักษิณเข้าญี่ปุ่น คืนพาสปอร์ตให้ทักษิณครบไปให้ถึงต่างประเทศ ครอบครัวทักษิณรอดจากการจ่ายภาษีสรรพากร เยียวยาให้กับผู้ชุมนุมเดือนเมษายน 2553 คนละ 7 ล้าน 4 ล้านมากกว่าตำรวจ ทหารที่เสียชีวิตในราชการ เสียชีวิตในการป้องกันประเทศเสียอีก ฯลฯ
นี่คือเหตุที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงที่ออกมาร่วมชุมนุมกับพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นหมื่นๆ คน
และจะเพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆ
หาทางยับยั้งซิครับ กดหัวให้ประชาชนยอมรับนับถือให้ได้ซิครับ ชเลียร์กันให้นางสาวยิ่งลักษณ์เลิศลอยไปเลยซิครับ เก่ง สวย ลุ่มลึกในสติปัญญา โลกนี้หาผู้เสมอเหมือนมิได้
เชิญเลยครับ
แต่ที่เห็นมาแล้ว เผด็จการที่มีอาวุธตั้งแต่หัวจรดเท้า มีบารมีมากมายในกองทัพอย่างจอมพลถนอม กิตติขจร/จอมพลประภาส จารุเสถียร ก็กระเจิงมาแล้วกับพลังของประชาชน
พอมีการนัดชุมนุมครั้งที่ 2 ที่จะเป็นวันที่ 24 พฤศจิกายน รัฐบาลก็ออกอาการวิตกกังวล
มือตีนของรัฐบาลส่วนหนึ่งวิ่งไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่มีพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นประธาน
รัฐธรรมนูญ ส่วนที่ 11 เสรีภาพในการชุมนุมและการสมาคม มาตรา 63 เขียนไว้ว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใช้กฎอัยการศึก
การชุมนุมครั้งแรกขององค์การพิทักษ์สยาม เป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ชุมนุมแสดงความคิดความเห็น ให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมการชุมนุมว่า ปีกว่าๆ ภายใต้การบริหารของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หุ่นเชิดของ ทักษิณ ชินวัตร บ้านเมืองเสียหายอย่างไร ขืนปล่อยต่อไปจะลงสู่หุบเหวเข้ารกเข้าพงอย่างไร แล้วการชุมนุมก็เสร็จสิ้นลงด้วยความเรียบร้อย
นัดวันเจอกันใหม่ซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้ เป็นวันนัดที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ร. 5)
มีเหตุผลอะไรที่จะมาห้ามการชุมนุมครั้งใหม่นี้ ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือ ประเทศอยู่ระหว่างสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ หรืออยู่ระหว่างประกาศกฎอัยการศึก
ผู้ชุมนุมสะสมอาวุธไหม ไม่มีอาวุธ ไม่มีปืน ไม่มีระเบิด ไม่มียางรถยนต์ และไม่มีขวดบรรจุน้ำมันมาคนละลิตรเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน
นางสาวยิ่งลักษณ์บอกว่า ปัญหาของบ้านเมืองให้แก้กันที่สภา
นั่นเป็นการพูดโดยที่ไม่ได้ส่องกระจกดูตัวเอง เมื่อเมษายน 2553 นางสาวยิ่งลักษณ์จำไม่ได้หรือว่าไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง หนึ่งในแกนนำบอกให้เอาขวดเปล่ามาหาน้ำมันเอาข้างหน้า ล้านขวดล้านลิตร กรุงเทพฯ ก็จะเป็นทะเลเพลิง แล้วการชุมนุมก็จบลงด้วยการเผาร้านค้า เผาศูนย์การค้า หวังจะให้กรุงเทพฯ เป็นทะเลเพลิงจริงๆ
หัวโจกของการชุมนุมคราวนั้นซึ่งอยู่ต่างประเทศบอกว่าเกิดอะไรขึ้นให้ไปที่ศาลากลางจังหวัด
แล้วในที่สุด ศาลากลางจังหวัดก็วอดอยู่ในกองเพลิงจริงๆ ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินซึ่งก็คือภาษีของประชาชนสร้างขึ้นใหม่
อาจจะเพราะเคยชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง ใช้ปืน ใช้ระเบิด ใช้ไฟ กดดันรัฐบาล (นายอภิสิทธิ์) ก็เลยคิดว่า การชุมนุมของกลุ่มอื่นที่ไม่ได้สนับสนุนตัวจะทำเช่นเดียวกับกลุ่มที่สนับสนุนตัวเคยทำ จึงได้ปริวิตกวิจารณ์
คนอย่างนางสาวยิ่งลักษณ์เคยให้ความสำคัญกับการประชุมสภาเพื่อแก้ปัญหาของประเทศชาติ จริงๆ หรือ?
ที่ตั้งคำถามเช่นนี้เพราะปีกว่าๆ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีเคยได้ยินแต่ข่าวการหนีประชุมสภาเป็นกิจวัตร หนีการตอบกระทู้เป็นอาจิณ แม้เมื่อบริหารมาครบหนึ่งปีแล้วจะต้องแถลงนโยบายต่อสภาก็ยังไม่แถลง เรื่องนี้มิใช่ความลับรู้กันทั้งสภา ทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ก็น่าจะรู้น่า
แถมวุฒิสภาก็ต้องรู้พฤติกรรมของนางสาวยิ่งลักษณ์
ยังมีหน้ามาสอนชาวบ้าน (ที่เขามีความรู้มีสำนึกดีกว่า) อีกหรือว่าให้นำปัญหาของบ้านเมืองไปแก้กันที่สภา
ปัญหาของบ้านเมืองต้องแก้กันที่สภา ถูกต้อง แต่ไม่ทั้งหมด บางครั้งสภาก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าหากสภานั้นชุ่ย สมาชิกสภานั้นทำตามคำสั่งผู้บงการทุกอย่าง โดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน
ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ เป็นไปได้ยังไง นักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งหลาย นายพลตำรวจ นายพลทหาร อดีตข้าราชการระดับปลัดกระทรวงยอมสยบอยู่กับชายกระโปรงที่ไม่ประสีประสาทางการเมืองอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
ปัญหาของชาติบ้านเมืองมันไม่ได้แก้กันที่สภาอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นรัฐธรรมนูญหมวด 3 เขาไม่เขียนไว้หรอกครับ ถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม โดยสงบ ฯลฯ เอาไว้หรอกครับ
ประชาชนมิได้มีสิทธิเพียงการเดินเข้าไปในคูหากาบัตร ใครชนะก็เอาประเทศไปปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรก็ได้ อย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้
หนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ประชาชนส่วนหนึ่งรู้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์คือหุ่นเชิดของทักษิณ รู้ตั้งแต่มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้สมัครแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อชนะเลือกตั้ง ก็ต้องให้บริหารประเทศเหมือนนายสมัคร สุนทรเวช ถึงจะเกลียดเป็นขี้ แต่พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งก็ต้องให้นายสมัครบริหารประเทศไป
ประชาชนออกมาคัดค้านนายสมัครก็ต่อเมื่อจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะรับใช้ทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูนั่นเอง
นางสาวยิ่งลักษณ์นี่ก็เหมือนกัน เผยหน้าออกมา คนเขาก็รู้แล้วว่า มาเพื่อทักษิณ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ตั้งสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ล็อบบี้ให้ทักษิณเข้าญี่ปุ่น คืนพาสปอร์ตให้ทักษิณครบไปให้ถึงต่างประเทศ ครอบครัวทักษิณรอดจากการจ่ายภาษีสรรพากร เยียวยาให้กับผู้ชุมนุมเดือนเมษายน 2553 คนละ 7 ล้าน 4 ล้านมากกว่าตำรวจ ทหารที่เสียชีวิตในราชการ เสียชีวิตในการป้องกันประเทศเสียอีก ฯลฯ
นี่คือเหตุที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงที่ออกมาร่วมชุมนุมกับพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นหมื่นๆ คน
และจะเพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆ
หาทางยับยั้งซิครับ กดหัวให้ประชาชนยอมรับนับถือให้ได้ซิครับ ชเลียร์กันให้นางสาวยิ่งลักษณ์เลิศลอยไปเลยซิครับ เก่ง สวย ลุ่มลึกในสติปัญญา โลกนี้หาผู้เสมอเหมือนมิได้
เชิญเลยครับ
แต่ที่เห็นมาแล้ว เผด็จการที่มีอาวุธตั้งแต่หัวจรดเท้า มีบารมีมากมายในกองทัพอย่างจอมพลถนอม กิตติขจร/จอมพลประภาส จารุเสถียร ก็กระเจิงมาแล้วกับพลังของประชาชน