xs
xsm
sm
md
lg

ยัดข้อหากบฎ เสธ.อ้าย-สนธิ “เรียกแขก” ไล่รัฐบาลเร็วขึ้น !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

แน่นอนว่าการออกหมายเรียกของ ตำรวจกองปราบปรามที่มีไปถึง “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ และ สนธิ ลิ้มทองกุล ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา “กบฎ” ในวันที่ 7 พฤศจิกายน จะต้องมีคำอธิบายตามมาว่าเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมาย มีที่มาที่ไป แต่จะมีกี่คนที่เห็นคล้อยตามแบบนั้น หรือเชื่อถือตามคำพูดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ในทางตรงกันข้ามจะต้องมองกันว่านี่คือ “ใบสั่ง” ทางการเมือง ผ่านทาง “รัฐตำรวจ” ที่เป็นกลไกและมือเท้าของรัฐบาล แน่นอนว่ามีไม่น้อยที่ต้องมองออกมาแบบนี้ และช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะหากติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ต้น มาจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างก็แทบไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมาย

การออกหมายเรียกดังกล่าวไม่น่าจะมีน้ำหนักจากการเร่งรัดของทนายความคนเสื้อแดงคนหนึ่งเท่านั้น เพราะหากติดตามจากข่าวการให้สัมภาษณ์ของตำรวจกองปราบนายหนึ่งที่รับเรื่องบอกว่า ได้พิจารณาจากหลักฐานที่ตรวจสอบเป็นคำพูดของ ทั้ง พล.อ.บุญเลิศ และ สนธิ นั้นเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคม 2555 แต่นี่กำลังจะออกหมายเรียกไปรับทราบ “ข้อหากบฎ” ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 ใช้เวลาเกือบปี จะว่าเป็นคดีฆาตกรรมซับซ้อนซ่อนเงื่อนก็ไม่น่าจะใช่ เพราะพิสูจน์ ใช้ดุลพินิจกันได้ไม่ยาก กระบวนการมีพิรุธ ไม่สมเหตุสมผล เหมือนนึกอยากจะยิบยกคดีใดขึ้นมาพิจารณาก็ได้

เพียงแต่ว่าจะหยิบฉวย พลิกมุมมาใช้ประโยชน์ในแง่ไหนเท่านั้นเอง และมาถึงตอนนี้ก็ได้จังหวะที่นำมาใช้สำหรับเป็น “ชนักปักหลัง” ใครบางคนเท่านั้น มีผลทางการเมืองแน่นอน

แม้ในเรื่องของการดำเนินคดีก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน ถือว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจก็สามารถดำเนินการ ขณะเดียวกันฝ่ายที่ถูกดำเนินคดีก็ต้องมีสิทธิ์ในการต่อสู้ตามขั้นตอนของกฎหมาย เป็นแค่เริ่มต้น ไม่ใช่บทสรุป เรื่องยังยาว และในที่สุดแล้วอาจเป็นแค่ “เรื่องขี้หมา” ก็เป็นได้

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในมุมการเมือง หลายคนก็ต้องเชื่อไปในทางเดียวกัน หากพิจารณาจากสถานการณ์ ความเคลื่อนไหว เมื่อนำมาผูกติดกับตัวบุคคลทั้งสองคน นั่นคือ ทั้ง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ และ สนธิ ลิ้มทองกุล

เริ่มจาก พล.อ.บุญเลิศ ก่อน ที่ผ่านมาได้เคลื่อนไหวในนามกลุ่ม “องค์กรพิทักษ์สยาม” นำมวลชนที่บอกว่า “ทนไม่ไหว” กับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็น “หุ่นเชิด” ของ ทักษิณ ชินวัตร กำลังปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมือง มีทั้งการจาบจ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ทุจริตฉ้อฉลละเมิดกฎหมาย สารพัด จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวชุมนุมเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา แม้ว่าไม่อาจฟันธงเปรี้ยงแบบเป๊ะๆว่ามีคนมาร่วมกันเท่าไหร่กันแน่ แต่รับรองต้องเห็นตรงกันว่า “หลักหมื่น” แน่นอน ส่วนจะถึงสองหมื่นหรือสามหมื่นคนหรือไม่ก็ว่ากันไป

ขณะเดียวกันก็ได้อาการ “ผิดปกติ” ร้อนรนเกิดขึ้นทันทีจากฝั่งรัฐบาล หลังจากได้เห็นมวลชนและแกนนำบางคนที่เข้าร่วม จากเดิมที่เคย “ปรามาสหยามเหยียด” กดตัวเลขแค่หลักพัน ไร้ความหมาย กลายเป็นว่าหวาดผวากันไปทั่ว โดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นาทีนี้ยังคงต้องปิดปากเงียบ

ขณะที่พวกแกนนำคนเสื้อแดง ก็บอกว่า “อย่าประมาท” การชุมนุมของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม เป็นอันขาด อ้างว่านี่คือการสร้างเงื่อนไขนำไปสู่การปฏิวัติ ว่ากันไปโน่น ทั้งที่เงื่อนไขที่แท้จริงอยู่ที่รัฐบาลนั่นแหละ เพราะหากไม่มีการทุจริต ตั้งใจบริหารบ้านเมืองเพื่อคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของ ทักษิณ ชินวัตร หรือบริหารบ้านเมืองให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี ไม่ใช่ “ข้าวยากหมากแพง” อย่างที่เป็นอยู่ รับรองว่า รัฐบาลย่อมมั่นคงแข็งแรง ซึ่งก็เป็นหลักการพื้นๆ รู้กันดีอยู่แล้ว

แต่ในเมื่อรัฐบาลกล้าทำในสิ่งที่เป็นตรงกันข้าม ทางหนึ่งก็ย่อมมั่นใจว่า บานของตัวเองมั่นคง มีฝ่ายสนับสนุนทั้งในและนอกสภา มีกลไกอำนาจรัฐ จากข้าราชการ และที่สำคัญอาจเข้าใจว่าได้ “สร้างรัฐตำรวจ” ขึ้นมา “จัดการ” กับฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายที่คิดว่าจะมีผลคุกคามตัวเอง

การประกาศนัดชุมนุมใหม่อีกรอบในราวปลายเดือนพฤศจิกายน ของ พล.อ.บุญเลิศ พร้อมกับขู่ว่าอาจเป็นการยกระดับเพื่อขับไล่รัฐบาล ความหมายอาจทำให้เข้าใจได้ว่า “จะทำแบบม้วนเดียวจบ” และเมื่อพิจารณาจากปริมาณและอารมณ์ความรู้สึกของมวลชนที่เข้าร่วมเมื่อวันก่อน แม้ลักษณะจะเป็นแบบ “รวมการเฉพาะกิจ” แต่รับรองว่า “ความรู้สึกเดียวกัน” คือ “ทนไม่ไหว” แทบทั้งสิ้น แน่นอนต้องทำให้รัฐบาลเกิดความหวาดผวา ขณะเดียกันในช่วงเวลาเดียวกันยังเป็นช่วงที่ ฝ่ายค้านจะต้องอภิปรายซักฟอกเปิดโปงรัฐบาลพอดี มันก็เป็นสองแรงบวก

สำหรับกรณีของ สนธิ ลิ้มทองกุล แน่นอนว่าสำหรับรัฐบาลและเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ย่อมต้องมองเป็น “ขาประจำ” อยู่แล้ว และที่ผ่านมาในฐานะแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมก็ประกาศให้กำลังใจ เปิดทางให้มวลชนที่เห็นด้วยเข้าร่วมตามสะดวก และบทบาทที่ผ่านมาก็ได้เปิดโปงให้ข้อมูลเดินหน้าปฏิรูปการเมือง ปลุกพลังประชาชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่พอสถานการณ์การเมืองเริ่มเข้าด้ายเข้าเข็มปลายหอกก็ต้องพุ่งมาทิ่มแทงเขาทุกที แต่คราวนี้อาจจะพิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะการเรียกไปรับทราบข้อหากบฎบังเอิญว่าวันที่ 7 พฤศจิกายน “ตรงกับวันเกิด” พอดี

เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวมาทั้งหมด มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องสรุปได้ทันทีว่าการออกหมายเรียกไปรับทราบข้อหากบฎของ พล.อ.บุญเลิศ และ สนธิ เป็นการยัดข้อหา เพื่อเป็น “ชนักปักหลัง” ฝ่ายตรงข้าม ที่คิดว่าเป็นภัยต่อรัฐบาล เป็นการกลั่นแกล้งปิดปาก ไม่ให้เคลื่อนไหวจนมีผลกระทบ โดยผ่านทางกลไก “รัฐตำรวจ” ที่กระทำกันอย่างเคยชิน แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งนี่อาจเป็นการยั่วยุ ไม่ต่างจากการ “เรียกแรก” ให้ชาวบ้านที่มีอารมณ์ไม่พอใจต่อรัฐบาลคุกรุ่นอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้ผนึกกำลังกันออกมาร่วมชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลกันให้เร็วขึ้นก็เป็นได้

แน่นอนว่าเงื่อนไขที่ทำให้พัง ล้วนมาจากภายในรัฐบาลทั้งสิ้น !!
กำลังโหลดความคิดเห็น