ASTVผู้จัดการรายวัน-กองปราบทำงานสุดไว สนอง นปช. เรียก "สนธิ-เสธ.อ้าย" รับทราบข้อหายุยงประชาชนเป็นกบฎ ยุทหารปฏิวัติ วันที่ 7 พ.ย.นี้ อ้างรวบรวมหลักฐานแล้วพบว่ามีมูลจริง ด้าน "บิ๊กตู่"ฮึ่ม ขู่ฟันวินัยทหารขัดคำสั่งร่วมม็อบ ย้ำแม้จะมีสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย แต่หากไปแล้วเกิดเรื่อง เจอโทษหนักแน่ "เหลิม"โวไม่เลิก ประชาชนไม่เบื่อรัฐบาล งัดอีสานโพลโชว์คนยังนิยม "ปู" ด้าน "ประชา"ตั้งข้อสงสัยพรรคการเมืองขนคนร่วมม็อบ
วานนี้ (31 ต.ค.) ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่ นายคารม พลพรกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมทีมทนายความกลุ่มคนเสื้อแดง เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ความดำเนินคดีกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ในข้อหายุยงให้ราษฎรเป็นกบฏ ยุยงทหารให้ก่อการปฏิวัติ และแสดงความคิดเห็นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กรณีที่บุคคลทั้ง 2 ออกมาแสดงความคิดเห็นอันเป็นการล้มล้างรัฐบาล ว่า หลังจากสอบปากคำ นายคารม และตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำมามอบให้แล้ว พนักงานสอบสวนจึงได้ทำการส่งหมายเรียกให้ นายสนธิ และ พล.อ.บุญเลิศ มารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวที่กองปราบปรามในวันที่ 7 พ.ย.นี้ เวลา 10.00 น.
พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า นายสนธิ ได้พูดในรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ ส่วน พล.อ.บุญเลิศ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับลวงพราง ทางสถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ทั้งนี้ หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานนานหลายเดือน พนักงานสอบสวนมีความเห้นว่าคดีดังกล่าวมีมูลจึงออกหมายเรียกให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคนมารับทราบข้อกล่าวหา
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจจะมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับกลุ่มคนเสื้อเหลืองเหมือนเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตนจะเสนอ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อรับมือปัญหาดังกล่าว เบื้องต้นได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดไว้อย่างน้อย 1 กองร้อย พร้อมทั้งประสานตำรวจปราบจลาจล ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลมาร่วมดูแลความปลอดภัยเพิ่มด้วย นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านการข่าวเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของมวลชนทั้งสองกลุ่มเพื่อประเมินสถานการณ์ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค. นายคารมได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า หากตำรวจกองปราบปรามยังไม่ดำเนินการกับนายสนธิ และเสธ.อ้าย ตนจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงอาจมีการยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา กระทั่งวานนี้ (31 ต.ค.) พนักงานสอบสวน กองปราบปราม ก็ได้ออกหมายเรียก นายสนธิ และพล.อ.บุญเลิศ มารับทราบข้อหาดังกล่าว
**"บิ๊กตู่"ขู่ทหารร่วมม็อบเจอเล่นวินัย
วันเดียวกันนี้ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงขู่จะนำม็อบมาชนกับม็อบของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยามว่า ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศไปแล้วว่าจะทำตามกรอบของกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าให้มีการชุมนุมได้โดยปราศจากอาวุธและความรุนแรง ซึ่งตนถือว่านี่คือกระบวนการประชาธิปไตย และอยากจะขอให้ทุกคนช่วยกันเฝ้าดู ถ้าใครไม่ทำหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรง ละเมิดกฎหมายก็อย่าไปร่วมมือ ทั้งนี้ อำนาจอยู่ที่คนทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับคนทั้งประเทศ ถ้าใครใช้นอกระบบก็อย่าไปร่วมมือ
เมื่อถามว่า นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงพยายามเชื่อมโยงการชุมนุมไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีว่า อยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะเอาไปเชื่อมโยงกันได้อย่างไร ต้องไปดูว่าคนที่พูด เขาพูดความจริงสักกี่อย่าง ที่ผ่านมา พูดความจริงไปกี่เรื่อง ซึ่งตนไม่รู้ เพราะตนจะสนใจในสิ่งที่เป็นความจริง ความน่าเชื่อถือ
"ถ้าพูดสิบครั้งแล้วเป็นเรื่องจริงแค่สามครั้ง หรือพูดสิบครั้งไม่เหมือนกัน คิดว่าเชื่อถือไม่ได้ ที่ผ่านมา สิ่งที่ผมพูดไม่เคยเปลี่ยนแปลง พูดสิบครั้งก็เหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่เคยพูดเป็นอย่างอื่น ดังนั้น ต่อไปการจะเชื่อมั่นใครสักคน เราจะต้องมีการบันทึกเอาไว้ว่าที่เขาพูดสิบครั้งตรงกันไหม ถ้าพูดสิบครั้งแล้วไม่ตรงกันก็คบไม่ได้และอย่าไปเชื่อถือมากนัก"
เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ห่วงกรณีที่กำลังพลจะใช้สิทธิ์ออกไปชุมนุม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การที่กำลังพลจะออกไปร่วมชุมนุมก็เป็นไปตามสิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ แต่การเป็นทหารต้องมีวินัยควบคู่ไปด้วย ถ้าหากพูดถึงวินัย ก็ไม่ให้ไป แต่ถ้าตามรัฐธรรมนูญไปได้ก็ไป แต่ถ้าหากมีเรื่องมา ก็ลงโทษ เพราะถือว่าผิดวินัย เพราะวินัยถือเป็นหัวใจของความเป็นทหาร แต่ถ้าทหารทุกคนใช้คำว่าเป็นประชาธิปไตยก็แสดงว่าทุกๆ คนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ทุกเรื่อง เช่น ถ้าให้ไปรบ ผมไม่อยากไป ก็ไม่ไป หรือทำงานที่เสี่ยง ก็ไม่ไป เพราะอ้างว่า มีประชาธิปไตย ซึ่งคงไม่ใช่
“จะต้องมีวินัยทหารขึ้นมากำชับอีกที โทษการผิดวินัยมี 7 ขั้นตามลำดับความรุนแรง แต่ที่ร้ายแรงที่สุด ก็คือ การขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาถึงขั้นปลดและไล่ออก ถ้าไปและไม่มีเรื่อง คงไม่เป็นไร แต่ถ้าไปแล้วมีเรื่อง และสอบสวนว่าไปจริง ถือว่าขัดคำสั่ง ซึ่งถ้าแอบไปคงจะไม่โดน แต่ถ้าลูกน้องไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาไม่รู้ ผู้บังคับบัญชาก็ต้องโดน ถือเป็นการปกครองตามสายการบังคับบัญชา ถ้าไปแล้วเกิดความวุ่นวายไม่ได้ เพราะทหารต้องอยู่ในกรอบระเบียบวินัย และเชื่อฟังตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้น เมื่อผบ.ทบ.บอกว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองก็อย่าไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
**"เหลิม"ยกอีสานโพลนิยมรัฐบาล
ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธถึงกรณีที่มีการระบุว่าตนได้บอกว่าเจ้าของบ่อนออกเงินให้การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามว่าไม่จริง ตนบอกแต่เพียงว่า เจ้าของบ่อนบางซื่อนำคนมาเพิ่มให้ม็อบ 2,000 คน และมีการนักการเมืองท้องถิ่นขนของมาเติมให้ม็อบ ตัวเลขผู้มาร่วมชุมนุมก็เลยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตนอยากจะฝากไปยังผู้ร่วมชุมนุมที่มีการะบุว่า ประชาชนทนไม่ไหวกับรัฐบาลชุดนี้นั้นไม่จริง เพราะอีสานโพลล์ ของมหาวิทยาลัยของแก่น ออกมาแล้วประชาชนนิยมรัฐบาลร้อยละ 81 และจะเลือกพรรคเพื่อไทยร้อยละ 53 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ร้อยละ 9 นิยม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 56 นิยมฝ่ายค้านร้อยละ 8 แล้วไหนที่บอกว่าประชาชนไม่พอใจรัฐบาลชุดนี้
**"ประชา"สงสัยการเมืองขนคนร่วมม็อบ
นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคแอบอยู่เบื้องหลังในการระดมคนมาร่วมม็อบหรือไม่ รวมถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาบอกให้นายกฯ ปรามคนเสื้อแดงว่าอย่าจัดม็อบชนม็อบว่า ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้ เพราะนายกฯ ไม่มีความคิดลักษณะนั้นแน่นอน ท่านยึดมั่นในแนวทางลดความขัดแย้ง นำความปรองดองกลับคืนสู่ประเทศ นายอภิสิทธิ์ควรไปสำรวจตรวจสอบภายในพรรคตัวเองว่ามีใครไปยุยงส่งเสริมขบวนการม็อบหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม หากประสงค์จะขับไล่รัฐบาล ก็ควรใช้เวทีสภา ใช้เวทีที่ถูกต้องตามครรลอง ใช้การเลือกตั้งเป็นตัวตัดสิน เวลา 4 ปี ไม่นานเกินไป ไม่ใช่เอะอะก็ตั้งกลุ่มก๊วน มาขับไล่กันข้างถนน
วานนี้ (31 ต.ค.) ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่ นายคารม พลพรกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมทีมทนายความกลุ่มคนเสื้อแดง เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ความดำเนินคดีกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ในข้อหายุยงให้ราษฎรเป็นกบฏ ยุยงทหารให้ก่อการปฏิวัติ และแสดงความคิดเห็นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กรณีที่บุคคลทั้ง 2 ออกมาแสดงความคิดเห็นอันเป็นการล้มล้างรัฐบาล ว่า หลังจากสอบปากคำ นายคารม และตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำมามอบให้แล้ว พนักงานสอบสวนจึงได้ทำการส่งหมายเรียกให้ นายสนธิ และ พล.อ.บุญเลิศ มารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวที่กองปราบปรามในวันที่ 7 พ.ย.นี้ เวลา 10.00 น.
พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า นายสนธิ ได้พูดในรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ ส่วน พล.อ.บุญเลิศ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับลวงพราง ทางสถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ทั้งนี้ หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานนานหลายเดือน พนักงานสอบสวนมีความเห้นว่าคดีดังกล่าวมีมูลจึงออกหมายเรียกให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคนมารับทราบข้อกล่าวหา
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจจะมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับกลุ่มคนเสื้อเหลืองเหมือนเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตนจะเสนอ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อรับมือปัญหาดังกล่าว เบื้องต้นได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดไว้อย่างน้อย 1 กองร้อย พร้อมทั้งประสานตำรวจปราบจลาจล ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลมาร่วมดูแลความปลอดภัยเพิ่มด้วย นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านการข่าวเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของมวลชนทั้งสองกลุ่มเพื่อประเมินสถานการณ์ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค. นายคารมได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า หากตำรวจกองปราบปรามยังไม่ดำเนินการกับนายสนธิ และเสธ.อ้าย ตนจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงอาจมีการยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา กระทั่งวานนี้ (31 ต.ค.) พนักงานสอบสวน กองปราบปราม ก็ได้ออกหมายเรียก นายสนธิ และพล.อ.บุญเลิศ มารับทราบข้อหาดังกล่าว
**"บิ๊กตู่"ขู่ทหารร่วมม็อบเจอเล่นวินัย
วันเดียวกันนี้ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงขู่จะนำม็อบมาชนกับม็อบของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยามว่า ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศไปแล้วว่าจะทำตามกรอบของกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าให้มีการชุมนุมได้โดยปราศจากอาวุธและความรุนแรง ซึ่งตนถือว่านี่คือกระบวนการประชาธิปไตย และอยากจะขอให้ทุกคนช่วยกันเฝ้าดู ถ้าใครไม่ทำหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรง ละเมิดกฎหมายก็อย่าไปร่วมมือ ทั้งนี้ อำนาจอยู่ที่คนทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับคนทั้งประเทศ ถ้าใครใช้นอกระบบก็อย่าไปร่วมมือ
เมื่อถามว่า นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงพยายามเชื่อมโยงการชุมนุมไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีว่า อยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะเอาไปเชื่อมโยงกันได้อย่างไร ต้องไปดูว่าคนที่พูด เขาพูดความจริงสักกี่อย่าง ที่ผ่านมา พูดความจริงไปกี่เรื่อง ซึ่งตนไม่รู้ เพราะตนจะสนใจในสิ่งที่เป็นความจริง ความน่าเชื่อถือ
"ถ้าพูดสิบครั้งแล้วเป็นเรื่องจริงแค่สามครั้ง หรือพูดสิบครั้งไม่เหมือนกัน คิดว่าเชื่อถือไม่ได้ ที่ผ่านมา สิ่งที่ผมพูดไม่เคยเปลี่ยนแปลง พูดสิบครั้งก็เหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่เคยพูดเป็นอย่างอื่น ดังนั้น ต่อไปการจะเชื่อมั่นใครสักคน เราจะต้องมีการบันทึกเอาไว้ว่าที่เขาพูดสิบครั้งตรงกันไหม ถ้าพูดสิบครั้งแล้วไม่ตรงกันก็คบไม่ได้และอย่าไปเชื่อถือมากนัก"
เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ห่วงกรณีที่กำลังพลจะใช้สิทธิ์ออกไปชุมนุม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การที่กำลังพลจะออกไปร่วมชุมนุมก็เป็นไปตามสิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ แต่การเป็นทหารต้องมีวินัยควบคู่ไปด้วย ถ้าหากพูดถึงวินัย ก็ไม่ให้ไป แต่ถ้าตามรัฐธรรมนูญไปได้ก็ไป แต่ถ้าหากมีเรื่องมา ก็ลงโทษ เพราะถือว่าผิดวินัย เพราะวินัยถือเป็นหัวใจของความเป็นทหาร แต่ถ้าทหารทุกคนใช้คำว่าเป็นประชาธิปไตยก็แสดงว่าทุกๆ คนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ทุกเรื่อง เช่น ถ้าให้ไปรบ ผมไม่อยากไป ก็ไม่ไป หรือทำงานที่เสี่ยง ก็ไม่ไป เพราะอ้างว่า มีประชาธิปไตย ซึ่งคงไม่ใช่
“จะต้องมีวินัยทหารขึ้นมากำชับอีกที โทษการผิดวินัยมี 7 ขั้นตามลำดับความรุนแรง แต่ที่ร้ายแรงที่สุด ก็คือ การขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาถึงขั้นปลดและไล่ออก ถ้าไปและไม่มีเรื่อง คงไม่เป็นไร แต่ถ้าไปแล้วมีเรื่อง และสอบสวนว่าไปจริง ถือว่าขัดคำสั่ง ซึ่งถ้าแอบไปคงจะไม่โดน แต่ถ้าลูกน้องไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาไม่รู้ ผู้บังคับบัญชาก็ต้องโดน ถือเป็นการปกครองตามสายการบังคับบัญชา ถ้าไปแล้วเกิดความวุ่นวายไม่ได้ เพราะทหารต้องอยู่ในกรอบระเบียบวินัย และเชื่อฟังตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้น เมื่อผบ.ทบ.บอกว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองก็อย่าไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
**"เหลิม"ยกอีสานโพลนิยมรัฐบาล
ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธถึงกรณีที่มีการระบุว่าตนได้บอกว่าเจ้าของบ่อนออกเงินให้การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามว่าไม่จริง ตนบอกแต่เพียงว่า เจ้าของบ่อนบางซื่อนำคนมาเพิ่มให้ม็อบ 2,000 คน และมีการนักการเมืองท้องถิ่นขนของมาเติมให้ม็อบ ตัวเลขผู้มาร่วมชุมนุมก็เลยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตนอยากจะฝากไปยังผู้ร่วมชุมนุมที่มีการะบุว่า ประชาชนทนไม่ไหวกับรัฐบาลชุดนี้นั้นไม่จริง เพราะอีสานโพลล์ ของมหาวิทยาลัยของแก่น ออกมาแล้วประชาชนนิยมรัฐบาลร้อยละ 81 และจะเลือกพรรคเพื่อไทยร้อยละ 53 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ร้อยละ 9 นิยม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 56 นิยมฝ่ายค้านร้อยละ 8 แล้วไหนที่บอกว่าประชาชนไม่พอใจรัฐบาลชุดนี้
**"ประชา"สงสัยการเมืองขนคนร่วมม็อบ
นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคแอบอยู่เบื้องหลังในการระดมคนมาร่วมม็อบหรือไม่ รวมถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาบอกให้นายกฯ ปรามคนเสื้อแดงว่าอย่าจัดม็อบชนม็อบว่า ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้ เพราะนายกฯ ไม่มีความคิดลักษณะนั้นแน่นอน ท่านยึดมั่นในแนวทางลดความขัดแย้ง นำความปรองดองกลับคืนสู่ประเทศ นายอภิสิทธิ์ควรไปสำรวจตรวจสอบภายในพรรคตัวเองว่ามีใครไปยุยงส่งเสริมขบวนการม็อบหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม หากประสงค์จะขับไล่รัฐบาล ก็ควรใช้เวทีสภา ใช้เวทีที่ถูกต้องตามครรลอง ใช้การเลือกตั้งเป็นตัวตัดสิน เวลา 4 ปี ไม่นานเกินไป ไม่ใช่เอะอะก็ตั้งกลุ่มก๊วน มาขับไล่กันข้างถนน