คอลัมน์ : ฝ่าเกลียวคลื่น
โดย...บรรจง นะแส
ผมไม่รู้จักเสธ.อ้าย.... ผมไม่ได้สนใจการนำเสนอแช่เย็นแช่แข็งนักการเมือง ผมเพียงรู้สึกว่าความรู้สึกร่วมกัน..“การบริหารประเทศของรัฐบาลนี้ กำลังนำพาประเทศไปในทิศทางที่ผมไม่เชื่อว่าจะทำให้ประเทศนี้ไปสู่เป้าหมาย และทิศทางที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ แต่ผมชอบใจที่ เสธ.อ้าย ได้เชิญชวนให้ผู้คนมาแสดงสิทธิเสรีภาพของตัวเองในการแสดงออกในครั้งนี้ตามสิทธิเสรีภาพทีเขามี และผมก็จะได้มีโอกาสได้ใช้สิทธิเสรีภาพร่วมกับพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีความรู้สึกร่วมกัน..” ผมโพสต์ข้อความนี้ในเฟซบุ๊กก่อนที่ผมจะตัดสินใจเดินทางไปเข้าร่วมชุมนุมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
คืนก่อนการจัดชุมนุมหนึ่งวัน เรานัดทานข้าวกันในหมู่เพื่อนฝูง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มบุคคลที่เคยเข้าร่วมชุมนุมในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็วิเคราะห์เหตุการณ์บ้านเมืองกันประสาคนที่สนใจการเป็นไปของบ้านเมืองว่าสถานการณ์บ้านเมืองทั้งในภาพกว้าง และปัญหาในระดับพื้นที่ต่างๆ ที่สังคมไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ และการชุมนุมที่จะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น สิ่งหนึ่งที่เห็นสอดคล้องกันก็คือ สภาพปัญหาทางเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม ไม่ได้มีทิศทางและแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ต้องพูดถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดถึงการเข้ามามีอิทธิพลเหนือการเมืองไทยของกลุ่มทุนข้ามชาติ ที่พุ่งเป้าสู่การยึดครองผลประโยชน์ของชาติโดยรวมให้กระชับยิ่งๆ ขึ้นไป โดยเฉพาะในกรณีของเรื่องพลังงาน ที่มีรูปธรรมเด่นชัดเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
โจทย์ที่ต้องตอบคำถามตัวเองสำหรับพวกเราหลายๆ คนคือ เราจะเข้าร่วมในฐานะอะไร ผู้ร่วมชุมนุมที่เห็นด้วยกับผู้จัดการชุมนุม และร่วมรับผิดชอบภารกิจส่วนใดส่วนหนึ่งของการชุมนุม หรือเข้าร่วมในฐานะประชาชนที่มีคำอธิบายรวมๆ ว่า “ทนไม่ไหวแล้วโว้ย” อะไรทำนองนั้น ก็ได้ข้อสรุปที่แตกต่างกันออกไป เพื่อนฝูงที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนก็ได้ข้อสรุปว่า เขาจะเข้าไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อนำเสนอภาพของการชุมนุมออกสู่สังคมวงกว้างให้รวดเร็ว และอย่างตรงไปตรงมา เพื่อนฝูงที่เคยเข้าร่วมในกลุ่มของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็บอกว่า แม้การนัดการชุมนุมของ เสธ.อ้ายในครั้งนี้ บรรดาแกนนำของพันธมิตรฯ ได้วิเคราะห์ในหลายแง่มุม โดยเฉพาะในประเด็นหัวใจของเป้าหมายว่า การชุมนุมในครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะให้บรรลุการปฏิรูปประเทศไทยได้ ยังคาดหวังอำนาจนอกระบบให้ออกมาจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ความเชื่อที่ว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของชาติได้อย่างแท้จริง เพราะบทเรียนของการเข้ามาของอำนาจนอกระบบก็มีมากพอว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นมูลเหตุ และต้นตอของปัญหาที่แท้จริงได้
ในขณะเดียวกัน การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยมวลมหาประชาชนก็ยังไม่สุกงอมมากพอ แต่การสร้างวัฒนธรรมในการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มีสำนึกทางการเมือง เป็นบทเรียนเบื้องต้นที่ประชาชนควรจะได้ใช้ และแสดงออกอย่างสม่ำเสมอ อย่างเป็นรูปธรรม การชุมนุมทางการเมืองอย่างสงบปราศจากอาวุธของประชาชนเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน พวกเราจึงได้ข้อสรุปร่วมกันว่า เราจะเข้าร่วมชุมนุมในฐานะพลเมืองที่ต้องการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมทางการเมือง ที่ เสธ.อ้ายจัดขึ้นในครั้งนี้
ผมไปถึงสะพานมัฆวานฯ ในช่วงเช้าที่เหตุการณ์เข้าสลาย การเดินทางไปชุมนุมของตำรวจตรงสะพานมัฆวานฯ เพิ่งเสร็จสิ้นลงหมาดๆ พี่น้องที่หลุดรอดจากการถูกจับกุมอยู่ในช่วงของการชุลมุนช่วยกันหาน้ำล้างหน้าตาอันเกิดจากโดนแก๊สน้ำตา กลิ่นแก๊สน้ำตายังคุกรุ่นทำให้คัดจมูกแสบตา เมื่อเดินไปหน้าแผงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถคุมเชิงตัดตอนกลุ่มผู้ชุมนุมออกเป็นสองส่วนได้ รถเครื่องเสียงและผู้จัดการควบคุมการชุมนุมบนรถเครื่องเสียงถูกจับตัวไป เครื่องเสียงที่มีอยู่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะอธิบายสิ่งที่จะต้องดำเนินต่อไป ในขณะที่ฟากฝั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเครื่องเสียงที่มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า การใช้บุคลากรของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีวาทศิลป์อธิบายมวลชน ใช้จิตวิทยามวลชนทุกรูปแบบ เช่น เมื่อประเมินว่าฟากฝั่งที่ประชาชนยังตรึงกำลังกันอยู่นั้น ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องที่เดินทางมาจากภาคใต้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ใช้บุคลากรที่เป็นคนใต้ สื่อสารภาษาใต้มายังผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ใช้ภาษาที่ไม่ก้าวร้าวเข้าใจอธิบายเหตุผลของการทำงานตามหน้าที่ตามกฎหมายที่ตัวเองได้รับมอบหมายมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในฐานะผู้เข้าร่วมชุมนุมก็เห็นแววตาความโกรธแค้นของพี่น้องที่ถูกกระทำ การลุกขึ้นมาใช้สิทธิเสรีภาพด้วยมือเปล่าๆ แต่กลับถูกกระทำที่เกินกว่าเหตุจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นบทเรียนที่ชุมชนในทุกพื้นที่ของประเทศนี้ที่พยายามลุกขึ้นมาอยู่เสมอๆ แต่หนนี้เกิดขึ้นอีกครั้งกลางใจเมืองหลวง ต่อหน้าสาธารณชน ต่อหน้าสื่อมวลชน นอกจากการช่วยเหลือซับน้ำตาให้แก่กันและกัน หาน้ำหาผ้าเช็ดหน้าเช็ดตาให้แก่กันดุจญาติมิตร สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกันก็คือว่า วันนี้พัฒนาการของการใช้อำนาจรัฐยังคงไม่เคารพกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเลยแม้สักนิด
หลายๆ คนตำหนิ เสธ.อ้ายในฐานะผู้จุดประเด็นเรียกร้องให้ผู้คนมาร่วมชุมนุม และยกเลิกการชุมนุมทั้งๆ ที่ไม่ได้บรรลุผลตามที่ประกาศไว้ โดยส่วนตัวผมไม่รู้สึกเช่นนั้น ตราบใดที่ เสธ.อ้าย และพรรคพวกยังคิดว่าปัญหาของประเทศนี้จะต้องได้รับการแก้ไข สิทธิเสรีภาพของกลุ่ม เสธ.อ้ายมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการจัดให้มีการชุมนุมทางการเมือง และถ้าสอดคล้องกับอารมณ์ของคนจำนวนหนึ่ง บรรดาผู้คนเหล่านั้นก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเข้ามาร่วมกัน ถ้าอยากตำหนิ เสธ.อ้ายในทัศนะของผมก็คือ การประกาศยกเลิกความคิดความตั้งใจที่จะเดินหน้าแก้ปัญหาของชาติมากกว่า เพราะโดยข้อเท็จจริงถึงวันนี้ปัญหาต่างๆ ที่ เสธ.อ้ายพูดเอาไว้ก็ยังคงอยู่ เรียนมาเพื่ออยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งถอดใจนะครับ เสธ.อ้าย