“ปานเทพ” ชี้คุณูปการ อพส.เป็นบทเรียนในการรับมือกับรัฐบาลอำมหิต หากต้องเคลื่อนมวลชนคราวหน้า ย้ำ พธม.เดินหน้าสู้ประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งชาติ ไม่มีสี ไม่มีขั้ว เชื่อปีหน้าชาวบ้านเริ่มตาสว่างจากพิษนโยบายรัฐบาล และจะนำไปสู่การปฏิรูปได้จริง “ยะใส” ระบุต้องเลิกคิดพึ่งทหารเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะภาคประชาชนก่อรูปสร้างอำนาจขึ้นเองได้
วันที่ 26 พ.ย. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ดำเนินรายการโดยนายเติมศักดิ์ จารุปราณ
โดยนายปานเทพกล่าวว่า คุณูปการขององค์การพิทักษ์สยาม คือ เป็นต้นแบบว่าการชุมนุมข้างหน้าต้องรับมืออย่างไรภายใต้รัฐบาลชุดนี้ที่ลุแก่อำนาจ นี่คือบทเรียนที่มีความสำคัญ ครั้งนี้ดูเหมือนรัฐบาลจะชนะในทางยุทธวิธี แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ในอนาคตการภาคประชาชนคงไม่ย่ำอยู่กับที่ แล้วยังไม่นับกระบวนการยุติธรรมที่ต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อพิสูจน์ความจริง
ประการถัดมา การเปิดคลิปทักษิณจาบจ้วงเบื้องสูง เกิดคำถามต่อไปว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรกับเรื่องนี้ รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ด้วย เพราะครั้งหนึ่งกองทัพเคยฟ้องดำเนินคดีต่อนายสนธิ ที่เอาคำพูดของดา ตอร์ปิโด มาปราศรัย แล้วคราวนี้จะทำอย่างไร นี่คือหมากที่องค์การพิทักษ์สยามได้วางไว้
และที่สำคัญคือการยุติชุมนุม แม้หลายคนไม่พอใจ ตนถือว่าการชุมนุมปลุกระดมยากแล้ว แต่การยุติการชุมนุมยากกว่า แต่ต้องยอมทำเพื่อรักษาชีวิตพี่น้องเอาไว้ นี่คือความงดงามของการชุมนุมมากกว่าชนะแต่สูญเสียมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ตนเสียดายบทบาทของ พล.อ.บุญเลิศ ที่ประกาศลาออกจากประธานองค์การพิทักษ์สยามเร็วเกินไป เพราะน้อยคนที่จะสามารถรวมคนได้จำนวนมากขนาดนี้
นายปานเทพกล่าวต่อว่า เงื่อนไขการชุมนุมของพันธมิตรฯ ยังคงเดิม คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของสถาบันกษัตริย์ และการล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และหัวข้อที่สาม คือ การปฏิรูปประเทศ ซึ่งเราจะเดินหน้าในประเด็นที่ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งประเทศ แล้วเดิมพันว่าเป็นประเด็นที่นักการเมืองไม่เอา มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือไม่ จากเดิมสู้กันไปมาระหว่างเอาทักษิณกับไม่เอาทักษิณ ไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้ามาเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ กับนักการเมืองไม่กี่ร้อยคน สถานการณ์จะเปลี่ยนเลย เช่น การต่อสู้เรื่องปิโตรเลียม ให้ประชาชนใช้น้ำมันได้ถูก ทุกสีทุกกลุ่มได้ประโยชน์ แล้วใครจะไม่เอา แล้วถ้าประชาชนเห็นพ้องต้องกันว่ามันไม่ใช่เรื่องสี เรื่องขั้วอำนาจ แต่เป็นการช่วงชิงผลประโชน์จากนักการเมืองมาเป็นของประชาชน แล้วถ้านักการเมืองยอมให้คืนกลับมา มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ถ้านักการเมืองขัดขืน เขาก็อาจอยู่ไม่ได้ ฉะนั้นนักการเมืองก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เพราะประชาชนตื่นรู้แล้ว หรือหากเกิดการปฏิวัติ ก็ต้องมองว่าประชาชนคาดหวังอะไร ไม่เช่นนั้นคณะปฏิวัติก็อาจอยู่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน ฉะนั้นการชูประเด็นผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศชาติจะเป็นผลดี
มีคำถามว่าประชาชนถูกประชานิยมครอบงำอย่างนี้ เมื่อไหร่จะตื่นรู้ ที่จริงอีกไม่นาน ปีหน้าเป็นต้นไป ทั้งเรื่องจำนำข้าว หนี้สาธารณะ การขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติ คำพิพากษาศาลโลกเรื่องประสาทพระวิหาร สิ่งเหล่านี้จะสุกงอมด้วยสถานการณ์ รวมถึงคำไต่สวนการเสียชีวิตของเสื้อแดง ทหารจะยอมทนอยู่ในภาวะที่ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้หรือ
นายปานเทพยังกล่าวด้วยว่า ต้องเลิกคาดหวังว่าทหารจะเป็นตัวแปรให้เกิดการปฏิวัติ ตราบใดที่ทหารยังมีความคิดที่ล้าหลังไม่มีทางเกิดได้ เพราะแม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีทหารที่คิดฉวยโอกาสรอประชาชนสองฝ่ายตีกันแล้วจัดการทั้งคู่ โดยมองว่าทั้งคู่คือตัวปัญหา ฉะนั้นประชาชนต้องเกาะรวมตัวกัน เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์จากนักการเมืองมาเป็นของประชาชน ทหารไม่อยู่ในเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงประเทศแล้ว นอกเสียจากว่ากองทัพจะมีจิตสำนึกเชิงปฏิรูปอย่างแท้จริง
ด้านนายสุริยะใสกล่าวว่า บทเรียนจากเหตุการณ์ 24 พ.ย. การที่ออกแบบว่าต้องจบในวันเดียว แล้วต้องมาเป็นล้านคน เป็นการผูกมัดตัวเอง การเคลื่อนไหวมวลชนควรมีความยืดหยุ่น อันนี้เป็นบทเรียนของนักเคลื่อนไหวทุกคน
นอกจากนี้ การมีเวลาที่สั้นในการอธิบายกับมวลชนที่จะมา บางคนยังถามเลยว่ามาแล้วอย่างไร ชนะแล้วจะไปอย่างไรต่อ เพราะพี่น้องที่ออกมาต้องดูว่าพลังชี้ขาดจริงๆ อยู่ที่ใคร ที่มวลชนหรือทหาร
อีกเรื่องคือสันติอหิงสากับการต่อสู้ทางการเมือง แม้ว่ามีพวกฮาร์ดคอร์ที่อยากลุย แต่รอบนี้เท่าที่ตนได้สอบถามพรรคพวกในการชุมนุม ค่อนข้างเป็นเอกภาพมากในการยุติการชุมนุม ไม่มีใครคัดค้านเลย มันถึงได้พิสูจน์ว่าเวลาพูดว่าสันติอหิงสา ไม่ใช่แค่พูดให้ดูดี แต่ยึดเป็นหลักสำคัญจริงๆ ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นถ้าประชาชนตอบโต้ก็ไม่ชนะ อาจสูญเสียมากเกินความจำเป็น มีคนตายจะชนะจริงหรือ ถ้าชนะแค่ชั่วข้ามคืนอย่าทำเลย
ประเด็นต่อมาคือ คลิปจาบจ้วงสถาบันฯ ที่เปิดบนเวที ทั้ง ผบ.ทบ. ร.ต.อ.เฉลิม และอพส.จะเคลื่อนไหวประเด็นนี้ต่อหรือไม่ ที่สำคัญรอบนี้ได้เห็นหน้าตัดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่ามีจิตใจอำมหิต แสดงว่าการชุมนุมในอนาคต รัฐบาลพร้อมที่จะรุนแรงกับประชาชนทุกเมื่อ
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า การลุกขึ้นสู้ของประชาชนไม่มีแพ้ ชนะตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้าย แต่เป็นแค่ศึกๆหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ทำให้ได้เห็นการเมืองไทยแบบจริงๆ ที่ไม่ใช่การจัดฉากอย่างที่ผ่านมา เห็นว่ามีการคอร์รัปชัน มีการล้มเจ้า และได้วางโจทย์ให้คิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อ
นายสุริยะใสกล่าวด้วยว่า โจทย์ใหญ่ของพันธมิตรฯคือการสู้ครั้งนี้ไม่ใช่สู้กับระบอบทักษิณเท่านั้น แต่เอาประเทศเป็นตัวตั้ง จะสามารถดึงคนกลางๆ ที่เดือดร้อนจากนโยบายรัฐบาลมาร่วมได้ เป็นโอกาสขยายพลังได้มากขึ้น ถ้าตั้งโจทย์ดี จะไม่ต้องเหนื่อยเท่าเดิม เพราะแนวร่วมขยายเพิ่ม
ส่วนกรณีที่มองกันว่ากองทัพเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นโครงสร้างการต่อสู้แบบเก่า ตนเห็นด้วย แต่ถ้าโจทย์ไกลกว่านั้น ต้องเลิกวิธีคิดว่าต้องมีกองทัพมาหนุน และต้องให้เห็นด้วยซ้ำว่าภาคประชาชนก่อรูปสร้างอำนาจตัวเองขึ้นมาด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยข้อเท็จจริง และถ้ากองทัพก้าวหน้าด้วยตัวเองก็จะออกมาเองเมื่อเห็นว่าบ้านเมืองวิกฤตแล้ว โดยที่ประชาชนไม่ต้องไปตายให้เขาเห็นถึงจะออกมา อีกทั้งปรากฏการณ์เสธ.อ้ายก็ได้ฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ แล้วว่าทหารออกมาจะเกิดการเปลี่ยนแปลง