xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อคำสั่ง ผบช.ภ.9 แต่ “สั่งขี้มูก” แล้วประเทศจะอยู่อย่างไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ ผบช.ภ.9 (ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก

เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้เขียนได้เขียนถึงความล้มเหลวของการออกคำสั่งของ พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ ผบช.ภ.9 ที่ได้มีหนังสือด่วนถึง ผกก.ทุก สภ. ในพื้นที่รับผิดชอบให้เข้มงวดจับกุมขบวนการผู้ขน และผู้ขายน้ำมันเถื่อน เพราะเป็นภัยทางด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งใน 2 ปี ที่ผ่านมา มีการนำน้ำมันเถื่อนมาจำหน่ายในตัวเมือง โดยวิธีการบรรจุขวด ถัง แกลลอน และหลอดแก้ว เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ในเขตเทศบาลต่างๆ เช่น คลองแห หาดใหญ่ เมือง สำนักขาม และชุมชนต่างๆ กว่า 20 ครั้ง จนมีประชาชนผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก

รวมทั้งเหตุการณ์น้ำมันเถื่อนที่เป็นของกลางจำนวน 30,000 กว่าลิตร ที่หน่วยงานดีเอสไอ กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จับกุม และนำไปให้ตำรวจ สภ.ควนโดน จ.สตูล เป็นผู้รักษา และดำเนินคดีกับเจ้าของน้ำมันเถื่อนได้หายไป จนกลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ของวงการตำรวจ จนสุดท้ายคือที่มาของคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุก สภ.เข้มงวด กวาดล้าง จับกุมขบวนการขนน้ำมันเถื่อน และขายน้ำมันเถื่อนทุกแห่งที่ลงนามโดย พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ ผบช.ภ.9

คำสั่งนี้ถูกส่งไปยัง สภ.ต่างๆ ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2555 จนขณะนี้เป็นเวลาเกือบจะ 30 วัน แต่ถ้า พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ จะกรุณาออกจาก สนง.ตร.ภ.9. ไปตรวจสอบพื้นที่เอาแค่ จ.สงขลา และสตูลสักครั้งหนึ่ง ท่านจะเห็นภาพเหมือนที่ผู้เขียนเห็น นั้นคือ ขบวนการขนน้ำมันเถื่อนโดยใช้รถปิกอัพดัดแปลงติดแท็งก์ในตัวรถบรรจุน้ำมันได้ตั้งแต่ 2,000-3,000 ลิตร ยังวิ่งเข้า-ออก ระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซียทางด่านศุลกากร อ.สะเดา เช่นเดียวกับรถบรรทุก และรถเก๋งดัดแปลงถังน้ำมันให้มีความจุตั้งแต่ 500 ลิตร จนถึง 1,000 ลิตร ยังเข้า-ออกในพื้นที่ผ่านด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา วันละหลายร้อยเที่ยว และรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนทุกรูปแบบเหล่านี้วิ่งบนถนนหลวงผ่าน ส.ภ.ต่างๆ เช่น สภ.ปาดังเบซาร์, สะเดา, คลองแงะ, ทุ่งลุง, คลองหอยโข่ง, หาดใหญ่อย่างปกติ โดยที่จุดตรวจทุกแห่งไม่ได้ทำตามคำสั่งด่วนที่สุดของ ผบช.ภ.9 แต่อย่างใด

เช่นเดียวกับที่ จ.สตูล ซึ่งในทางบกนั้น การป้องกัน ปราบปราม จับกุมง่ายยิ่งกว่า “ปอกกล้วยเข้าปาก” เพราะมีการขนน้ำมันเถื่อนเข้ามาเพียงด่านเดียวนั่นคือ ด่านวังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล เพียงแค่ตำรวจ สภ.ควนโดน ตั้งด่านตรวจบนเส้นทางที่ออกจากชายแดนมาเลเซีย รถบรรทุกน้ำมันทุกคันก็หมดสิทธิที่จะขนน้ำมันออกมาได้ แต่วันนี้ถ้า พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ จะกรุณาไปตรวจพื้นที่อีกครั้ง จะพบว่าน้ำมันเถื่อนที่ จ.สตูล ยังถูกนำเข้ามาทั้งทางบก ทางทะเลเหมือนเดิม เหมือนกับวันที่ยังไม่มีคำสั่งจาก บช.ภ.9 และเหมือนกับที่ตอนที่ ผบช.ภ.9 คนใหม่ยังไม่ได้มาทำหน้าที่

เอาเถอะ การที่ตำรวจแต่ละ สภ. ไม่จับรถบรรทุกที่วิ่งขนน้ำมันเถื่อนจากชายแดนมาเลเซียผ่านทางหน้า สภ. ตำรวจ อาจจะมีข้ออ้างได้ว่า ไม่เห็น กำลังไม่พอ ผู้ค้าขนกันกลางคืน หรือเล่นทีเผลอ หรือตำรวจที่จุดตรวจจุดสกัดตาบอดสี มองไม่เห็นรถเหล่านั้นก็อาจจะเป็นข้ออ้างข้างๆ คูๆ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของตำรวจในสยามประเทศที่พอจะฟังขึ้น แต่สิ่งที่ฟังไม่ขึ้น และเห็นเป็นประจักษ์กับสายตาของประชาชน คือ บรรดาน้ำมันหลอดแก้ว น้ำมันขวด น้ำมันถัง 200 ลิตร และน้ำมันที่บรรจุในแกลลอนพลาสติกขนาดต่างๆ ที่มีการวางขายหน้าอาคาร ร้านค้า ริมถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลตำบล, อบต., เทศบาลเมือง, เทศบาลนคร เช่น ในเขตเทศบาลเมืองสะเดากว่า 100 แห่ง ในแต่ละเขตเทศบาลซึ่งรายล้อม สภ.สะเดา และในเขต สภ.ทุ่งลุง กว่า 100 แห่ง แม้แต่ทางเข้าโรงพักทุ่งลุงก็เต็มไปด้วยน้ำมันเถื่อน

เช่นเดียวกับในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ทั้งในตัวเมือง นอกเมือง โดยเฉพาะถนนสายหาดใหญ่ รัตภูมิ สายเก่า ในพื้นที่ ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ สภ.หาดใหญ่ ทำกันเหมือนกับมีโรงกลั่นน้ำมันเป็นของตนเอง และยิ่งในเขตเทศบาลนครสงขลา ใต้ “ชายคา” บ้านของ พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ เองเดินไปตรงไหนเต็มไปด้วยการค้าการขายน้ำมันเถื่อนทั้งเมือง ซึ่งมีการห่วงกันว่าวันไหนที่โชคร้ายเกิดเพลิงไหม้ขึ้นสักแห่ง เมืองสงขลาจะเป็น “ทะเลเพลิง” ในทันที เพราะแต่ละบ้านต่างเก็บน้ำมันเบนซินไว้ในบ้านไม่ต่ำกว่าบ้านละ 500 ลิตร และน้ำมันเหล่านี้มันคือ “ระเบิดเพลิง” ดีๆ นี่เอง

สาเหตุที่คำสั่งของ พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ เป็นได้แค่การ “สั่งขี้มูก” มาจากสาเหตุที่ทุก สภ.ต่างอยู่ในอาการ “สำลัก” เงินที่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนหยิบยื่นให้เป็นรายเดือน ซึ่งเป็น “เงินก้อน” ที่นายตำรวจผู้บริหารโรงพักได้รับ ส่วนตำรวจระดับล่างต่างมีรายได้หลักจากพ่อค้าผู้ขายน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ ซึ่งมีการเรียกเก็บกันตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 30,000 บาท จากผู้ขายแต่ละราย รายได้ที่ตำรวจเหล่านี้ได้รับคือปัจจัยที่ทำให้คำสั่งของ ผบช.ภ.9 กลายเป็นแค่กระดาษเปื้อนหมึกแผ่นหนึ่งเท่านั้น

วันนี้ ผลประโยชน์จากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนมหาศาล จนทำให้ “กฎหมาย” ถูกผู้รักษา “กฎหมาย” เก็บเข้าลิ้นชัก และไม่เคยสนใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งกระทบทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจโดยรวม และความเดือดร้อนของสังคม ผลประโยชน์จากน้ำมันเถื่อนมากแค่ไหนให้ดูจากบัญชีการ “จ่ายส่วย” ของผู้ค้าน้ำเถื่อนรายใหญ่ที่ดีเอสไอ และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยึดได้จากการจับกุมขบวนการรายใหญ่หลายครั้ง เช่นที่ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ที่มีบัญชีการจ่ายเงินให้แก่หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะตำรวจ เช่นเดียวกับบัญชีจ่าย “ส่วย” ที่ยึดได้จากนายทุนระดับสมาชิกสภาจังหวัดที่ จ.สตูล