ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ศาลปัตตานีสรุปคดี “สุไลมาน แนซา” เสียชีวิตขณะถูกควบคุมตัวในค่ายทหารว่า ผูกคอจนขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ไร้พยานยืนยันถูกฆาตกรรม บิดาถอนฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจากรัฐ เหตุได้เงินเยียวยา 7.5 ล้านบาทแล้ว
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดปัตตานีนัดฟังคำสั่งคดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพ นายสุไลมาน แนซา ที่เสียชีวิตในห้องพักหมายเลข 2 ของศูนย์เสริมสร้างสมานฉันท์ (ศสฉ.) ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ในลักษณะผูกคอตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2553 คดีหมายดำ 14 /2553 โดยมีนายวิสูตร มานะพิทักษ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี เป็นผู้อ่านคำสั่งศาล มีพนักงานอัยการจังหวัดยะลาในฐานะผู้ร้องให้มีการไต่สวน และนายเจ๊ะแว แนซา บิดาของนายสุไลมาน ในฐานะผู้ร้องคัดค้าน ร่วมฟังคำสั่งศาล
ศาลมีคำสั่งสรุปว่า นายสุไลมานเสียชีวิตจากการขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง เนื่องจากการผูกคอด้วยผ้าเช็ดตัวผูกติดกับเหล็กดัดหน้าต่างระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตามหน้าที่ โดยนายสุไลมานเสียชีวิตในช่วงเวลาระหว่างหลังเที่ยงคืนของวันที่ 29 พ.ค. ถึงก่อนเที่ยงวันของวันที่ 30 พ.ค.2553
คดีนี้ ศาลได้พิจารณาจากเหตุผล 3 ประเด็น ประเด็นแรกจากผลการตรวจสอบดีเอ็นเอ (รหัสพันธุกรรม) จากคราบเลือดที่พบบนผ้าใช้ในการผูกคอตายกับก้านสำลีที่ใช้ในการตรวจสอบดีเอ็นเอ พบว่า เป็นดีเอ็นเอเดียวกันซึ่งเป็นดีเอ็นเอของนายสุไลมาน และไม่พบดีเอ็นเอของผู้อื่นอยู่ด้วย
ประเด็นที่สอง ตามคำเบิกความของพยานฝ่ายผู้ร้องคัดค้าน คือ นายอับดุลกอเดร์ บากา ซึ่งถูกควบคุมตัวช่วงเดียวกัน เบิกความว่า ในคืนที่เกิดเหตุ ตนได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามายังบริเวณหน้าห้องพักของนายสุไลมาน จากนั้น ได้ยินเสียงโครมภายในห้อง อีกทั้งยังได้ยินเสียงคน 2 คน สนทนากันว่า เสร็จหรือยัง เร็วๆหน่อย จากนั้น เสียงรถยนต์ขับออกไป แต่จากการเบิกความของนายอารอบี รือสะ ผู้ถูกควบคุมตัวอีกคน ซึ่งพักอยู่ที่ห้องข้างห้องพักนายสุไลมาน เบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
“ดังนั้น ศาลเห็นว่า การเบิกความของนายอับดุลเดร์เป็นเพียงแค่ได้ยินเสียงเท่านั้น ไม่ได้เห็นด้วยสายตา ฉะนั้น ต้องฟังอย่างระมัดระวัง”
ประเด็นที่สาม เลือดที่ไหลออกจากรูทวารหนักของนายสุไลมาน ตามคำเบิกความของแพทย์หญิงเปมิกา ตักขะนา แพทย์จากโรงพยาบาลหนองจิก จ.ปัตตานี ให้ความเห็นว่า คนที่ผูกคอตายจะไม่ควรมีเลือดไหลออกจากทวารหนัก
ส่วน พ.ท.เอกพล นิพัฒน์คุโณปการ แพทย์โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร ให้ความเห็น 2 ประการว่า ประการแรก เมื่อคนตายไปแล้วหูรูดของทวารหนักอ่อนตัว มีโอกาสที่เลือดจะไหลออกมาได้ก็ต่อเมื่อริดสีดวงแตก หรือเป็นแผลในลำไส้
และประการที่สอง หากมีเลือดไหลออกมา อาจเกิดจากการถูกกระทบจากการทำร้าย หรือทุบตีอย่างรุนแรงบริเวณท้อง และกระดูกเชิงกราน แต่หากถูกกระทำอย่างรุนแรง จะต้องปรากฏร่องรอย หรือบาดแผลบริเวณผิวหนัง แต่จากการตรวจชันสูตรพลิกศพนายสุไลมาน ไม่พบร่องรอยบาดแผลตามผิวหนังแต่อย่างใด ซึ่งสอดคล้องกับการให้ความเห็นของนายแพทย์มาฮะมะอับดุลนาเซร์ นิรีย์ แพทย์จากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จ.ปัตตานี ที่ให้ความเห็นว่า ช่วงแรกๆ ของการเสียชีวิตจะไม่มีเลือดไหลออกมา แต่ผ่านไปนานๆ เข้าอาจจะมีเลือดไหลออกมาได้ โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว
ประกอบกับการชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตของนายสุไลมาน เป็นการชันสูตรพลิกศพต่อหน้าบรรดาญาติของผู้ที่เสียชีวิต ต่อหน้านักสิทธิมนุษยชน และต่อหน้าผู้สื่อข่าว และที่สำคัญ แพทย์เหล่านี้มีความเชียวชาญเฉพาะด้าน
นายเจ๊ะแว แนซา บิดานายสุไลมาน เปิดเผยว่า เมื่อศาลมีสั่งคำสั่งสรุปได้ว่าเหมือนเป็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่เป็นการฆาตกรรม ตนก็จะต้องกลับไปปรึกษาหารือกับครอบครัวก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนคดีที่ตนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐเมื่อเดือน พ.ค.2554 วงเงิน 2 ล้านบาท ขณะนี้ ตนได้ให้ทนายถอนฟ้องไปแล้ว เนื่องจากตนได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาสำหรับผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) เป็นเงิน 7.5 ล้าน เมื่อวันที 17 ส.ค.2555
ฮัสซัน โตะดง โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดปัตตานีนัดฟังคำสั่งคดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพ นายสุไลมาน แนซา ที่เสียชีวิตในห้องพักหมายเลข 2 ของศูนย์เสริมสร้างสมานฉันท์ (ศสฉ.) ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ในลักษณะผูกคอตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2553 คดีหมายดำ 14 /2553 โดยมีนายวิสูตร มานะพิทักษ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี เป็นผู้อ่านคำสั่งศาล มีพนักงานอัยการจังหวัดยะลาในฐานะผู้ร้องให้มีการไต่สวน และนายเจ๊ะแว แนซา บิดาของนายสุไลมาน ในฐานะผู้ร้องคัดค้าน ร่วมฟังคำสั่งศาล
ศาลมีคำสั่งสรุปว่า นายสุไลมานเสียชีวิตจากการขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง เนื่องจากการผูกคอด้วยผ้าเช็ดตัวผูกติดกับเหล็กดัดหน้าต่างระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตามหน้าที่ โดยนายสุไลมานเสียชีวิตในช่วงเวลาระหว่างหลังเที่ยงคืนของวันที่ 29 พ.ค. ถึงก่อนเที่ยงวันของวันที่ 30 พ.ค.2553
คดีนี้ ศาลได้พิจารณาจากเหตุผล 3 ประเด็น ประเด็นแรกจากผลการตรวจสอบดีเอ็นเอ (รหัสพันธุกรรม) จากคราบเลือดที่พบบนผ้าใช้ในการผูกคอตายกับก้านสำลีที่ใช้ในการตรวจสอบดีเอ็นเอ พบว่า เป็นดีเอ็นเอเดียวกันซึ่งเป็นดีเอ็นเอของนายสุไลมาน และไม่พบดีเอ็นเอของผู้อื่นอยู่ด้วย
ประเด็นที่สอง ตามคำเบิกความของพยานฝ่ายผู้ร้องคัดค้าน คือ นายอับดุลกอเดร์ บากา ซึ่งถูกควบคุมตัวช่วงเดียวกัน เบิกความว่า ในคืนที่เกิดเหตุ ตนได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามายังบริเวณหน้าห้องพักของนายสุไลมาน จากนั้น ได้ยินเสียงโครมภายในห้อง อีกทั้งยังได้ยินเสียงคน 2 คน สนทนากันว่า เสร็จหรือยัง เร็วๆหน่อย จากนั้น เสียงรถยนต์ขับออกไป แต่จากการเบิกความของนายอารอบี รือสะ ผู้ถูกควบคุมตัวอีกคน ซึ่งพักอยู่ที่ห้องข้างห้องพักนายสุไลมาน เบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
“ดังนั้น ศาลเห็นว่า การเบิกความของนายอับดุลเดร์เป็นเพียงแค่ได้ยินเสียงเท่านั้น ไม่ได้เห็นด้วยสายตา ฉะนั้น ต้องฟังอย่างระมัดระวัง”
ประเด็นที่สาม เลือดที่ไหลออกจากรูทวารหนักของนายสุไลมาน ตามคำเบิกความของแพทย์หญิงเปมิกา ตักขะนา แพทย์จากโรงพยาบาลหนองจิก จ.ปัตตานี ให้ความเห็นว่า คนที่ผูกคอตายจะไม่ควรมีเลือดไหลออกจากทวารหนัก
ส่วน พ.ท.เอกพล นิพัฒน์คุโณปการ แพทย์โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร ให้ความเห็น 2 ประการว่า ประการแรก เมื่อคนตายไปแล้วหูรูดของทวารหนักอ่อนตัว มีโอกาสที่เลือดจะไหลออกมาได้ก็ต่อเมื่อริดสีดวงแตก หรือเป็นแผลในลำไส้
และประการที่สอง หากมีเลือดไหลออกมา อาจเกิดจากการถูกกระทบจากการทำร้าย หรือทุบตีอย่างรุนแรงบริเวณท้อง และกระดูกเชิงกราน แต่หากถูกกระทำอย่างรุนแรง จะต้องปรากฏร่องรอย หรือบาดแผลบริเวณผิวหนัง แต่จากการตรวจชันสูตรพลิกศพนายสุไลมาน ไม่พบร่องรอยบาดแผลตามผิวหนังแต่อย่างใด ซึ่งสอดคล้องกับการให้ความเห็นของนายแพทย์มาฮะมะอับดุลนาเซร์ นิรีย์ แพทย์จากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จ.ปัตตานี ที่ให้ความเห็นว่า ช่วงแรกๆ ของการเสียชีวิตจะไม่มีเลือดไหลออกมา แต่ผ่านไปนานๆ เข้าอาจจะมีเลือดไหลออกมาได้ โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว
ประกอบกับการชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตของนายสุไลมาน เป็นการชันสูตรพลิกศพต่อหน้าบรรดาญาติของผู้ที่เสียชีวิต ต่อหน้านักสิทธิมนุษยชน และต่อหน้าผู้สื่อข่าว และที่สำคัญ แพทย์เหล่านี้มีความเชียวชาญเฉพาะด้าน
นายเจ๊ะแว แนซา บิดานายสุไลมาน เปิดเผยว่า เมื่อศาลมีสั่งคำสั่งสรุปได้ว่าเหมือนเป็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่เป็นการฆาตกรรม ตนก็จะต้องกลับไปปรึกษาหารือกับครอบครัวก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนคดีที่ตนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐเมื่อเดือน พ.ค.2554 วงเงิน 2 ล้านบาท ขณะนี้ ตนได้ให้ทนายถอนฟ้องไปแล้ว เนื่องจากตนได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาสำหรับผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) เป็นเงิน 7.5 ล้าน เมื่อวันที 17 ส.ค.2555
ฮัสซัน โตะดง โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)